จริยธรรมการตีพิมพ์

จรรยาบรรณสำหรับผู้นิพนธ์บทความ

1.1 ความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์

  • ผู้นิพนธ์จะต้องส่งผลงานต้นฉบับที่จัดทำขึ้นอย่างซื่อสัตย์และตามมาตรฐานสากล
  • ผลการวิจัยจะต้องไม่ถูกได้มาด้วยการฉ้อโกงหรือไม่สุจริต และไม่ถูกประดิษฐ์หรือบิดเบือนตากหลักของอิสลาม
  • ผู้นิพนธ์ต้องนำเสนอรายงานที่กระชับ สอดคล้อง มีความถูกต้องเกี่ยวกับวิธีการดำเนินงานและมีรายละเอียดเพียงพอที่จะให้ผู้วิจัยท่านอื่นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้
  • ข้อมูลทั้งหมดจะต้องรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ
  • ผู้นิพนธ์ต้องไม่อ้างสิทธิความเป็นต้นฉบับของบทความ หากกรณีมีผลงานที่คล้ายกันได้ถูกนำไปเผยแพร่โดยผู้อื่น

1.2 ความเป็นต้นฉบับ

  • ต้นฉบับที่ส่งมายังวารสารจะต้องเป็นผลงานต้นฉบับเท่านั้น และยังไม่ถูกส่งไปยังวารสารอื่นพร้อมกัน
  • วัสดุจากแหล่งอื่นต้องถูกอ้างอิงอย่างเหมาะสม
  • หากต้นฉบับนั้นมีส่วนที่ทับซ้อนกับผลงานที่เคยเผยแพร่หรือกำลังจะเผยแพร่ หรือกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาเผยแพร่ที่อื่น ผู้นิพนธ์ต้องอ้างอิงผลงานนั้นในต้นฉบับ และต้องแจ้งให้บรรณาธิการบริหารทราบ ซึ่งบรรณาธิการบริหารอาจขอสำเนาของผลงานที่เกี่ยวข้อง
  • ผู้นิพนธ์ต้องถอนต้นฉบับที่อยู่ระหว่างพิจารณาที่วารสารอื่นก่อนการส่งมายังวารสารนี้
  • การส่งบทความเดิมอีกครั้ง ภายหลังจากถูกปฏิเสธการพิจารณาบทความจากวารสาร สามารถทำได้หากบรรณาธิการวารสารได้มีข้อเสนอแนะให้ส่งใหม่อีกครั้ง
  • ผู้นิพนธ์ควรตรวจสอบบทความต้นฉบับของตนเพื่อป้องกันการลอกเลียนผลงานก่อนการส่งมายังวารสาร

1.3 การลอกเลียนผลงาน

  • ต้นฉบับที่ส่งมายังวารสารต้องไม่มีการลอกเลียนผลงานใด ๆ รวมถึงการลอกเลียนตนเอง
  • ผู้นิพนธ์ต้องมั่นใจว่าตนได้เขียนผลงานต้นฉบับทั้งหมด และหากใช้ผลงานหรือคำพูดของผู้อื่นต้องมีการอ้างอิงอย่างเหมาะสม
  • การลอกเลียนผลงานสามารถกระทำในรูปแบบการอ้างว่าผลงานของผู้อื่นเป็นของตนเอง หรือการใช้หรือดัดแปลงส่วนสำคัญของผลงานของผู้อื่นโดยไม่ให้เครดิต การอ้างผลการวิจัยของผู้อื่นว่าเป็นของตนเองก็ถือเป็นการลอกเลียนผลงานเช่นกัน
  • การใช้ความคิดหรือคำพูดหรือทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นที่เผยแพร่หรือไม่เผยแพร่โดยไม่มีการอ้างอิงและการอนุญาต และอ้างว่าความคิดนั้นเป็นของตนเองแทนที่จะมาจากแหล่งที่มาที่มีอยู่ถือเป็นการลอกเลียนผลงาน
  • การเขียนต้นฉบับหลายฉบับที่ปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยจากกันและส่งไปยังวารสารต่าง ๆ โดยไม่มีการยอมรับต้นฉบับ/บทความอื่นถือเป็นการลอกเลียนตนเอง
  • การลอกเลียนตนเองสามารถลดหรือหลีกเลี่ยงได้โดยการอ้างอิงผลงานที่เคยเผยแพร่ของผู้นิพนธ์ทุกครั้งที่เหมาะสม
  • ใช้คำของตนเองเมื่อสรุปหรือดัดแปลงย่อหน้าของผู้อื่นพร้อมการอ้างอิงที่เหมาะสม
  • อ้างอิงแหล่งข้อมูลให้มากที่สุดเมื่อเขียนต้นฉบับ
  • ให้การยอมรับผลงานของผู้อื่นอย่างถูกต้องเสมอ

1.4 การส่งผลงานซ้ำหรือหลายครั้ง

  • การส่งต้นฉบับเดียวกันไปยังหลายวารสารในเวลาเดียวกันถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและยอมรับไม่ได้
  • ผู้นิพนธ์ต้องไม่ส่งต้นฉบับหรือผลการวิจัยที่คล้ายกันไปยังมากกว่าหนึ่งสิ่งพิมพ์พร้อมกัน หรือตลอดเวลาที่ต้นฉบับนั้นกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
  • การส่งใหม่หลังจากถูกปฏิเสธหรือถอนตัวจากวารสารอื่นถือว่ายอมรับได้
  • ต้นฉบับที่ส่งต้องไม่เคยถูกเผยแพร่หรือยอมรับให้เผยแพร่ที่อื่นมาก่อน หรือต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยสิ่งพิมพ์อื่นไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนในภาษาต่าง ๆ
  • วารสารไม่รับต้นฉบับที่ถูกตีพิมพ์ในรายงานการประชุมวิชาการอย่างเต็มรูปแบบ

1.5 ความขัดแย้งทางผลประโยชน์

  • ผู้นิพนธ์ที่มีชื่อปรากฏในบทความทุกคน ต้องเป็นผู้ที่มีส่วนในการดำเนินการวิจัยจริง
  • ผู้นิพนธ์ต้องระบุแหล่งทุนที่สนับสนุนในการทำวิจัยนี้
  • ผู้นิพนธ์ต้องระบุผลประโยชน์ทับซ้อน (หากมี)

 

จรรยาบรรณสำหรับผู้ประเมินบทความ

2.1 ความรับผิดชอบของผู้ประเมิน

  • ผู้ทรงคุณวุฒิจะถูกคัดเลือกโดยบรรณาธิการวารสารเพื่อประเมินบทความที่เขียนขึ้น โดยมุ่งหมายให้มีการปรับปรุงรายงานการวิจัยและระบุเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงสุดสำหรับวารสาร
  • วารสารใช้กระบวนการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดสองทาง ซึ่งผู้นิพนธ์และผู้ประเมินจะไม่รู้จักกัน
  • บทความที่ได้รับการประเมินเป็นข้อมูลที่ได้รับการสงวนสิทธิ์ ผู้ประเมินต้องปฏิบัติต่อบทความอย่างเป็นความลับและไม่เก็บหรือคัดลอกบทความในทุกๆ รูปแบบ
  • ผู้ประเมินจะต้องรักษาความลับและไม่เปิดผยข้อมูลบางส่วนหรือทุกส่วนของบทความที่กำลังพิจารณาแก่บุคคลอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง ในช่วงระยะเวลาของการประเมินบทความ (Confidentiality)
  • ผู้ประเมินทบความ ควรประเมินบทความในสาขาวิชาที่ตนมีความเชี่ยวชาญ โดยพิจารณาความสำคัญของเนื้อหาในบทความที่จะมีต่อสาขานั้นๆ คุณภาพของการวิเคราะห์ และความเข้มข้นของผลงาน ไม่ควรใช้ความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลรองรับมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินบทความ
  • ผู้นิพนธ์ควรเคารพความลับของกระบวนการประเมินและไม่เปิดเผยตัวเองต่อผู้ประเมิน ในทางกลับกัน ผู้ประเมินควรหลีกเลี่ยงการกระทำหรือการกล่าวที่อาจทำให้ผู้นิพนธ์ทราบว่าตนเองเป็นผู้ประเมิน
  • หากผู้ประเมินบทความ ตระหนักว่า ตัวเองอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ เช่น เป็นผู้ร่วมโครงการ หรือรู้จักผู้นิพนธ์เป็นการส่วนตัว หรือเหตุผลอื่นๆ ที่ทำให้ไม่สามารถให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างอิสระได้ ผู้ประเมินบควาควรแจ้งให้บรรณาธิการวารสารทราบและปฏิเสธการประเมินบทความนั้นๆ

2.2 คุณภาพของการประเมิน

  • การประเมินควรเป็นไปอย่างมืออาชีพ ซื่อสัตย์ สุภาพ รวดเร็ว และสร้างสรรค์
  • การประเมินควรรวมถึงการระบุและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับจุดแข็งและจุดอ่อนของการออกแบบการทดลอง การตีความข้อมูล และข้อกังวลทางจริยธรรมที่อาจเกิดขึ้นจากการศึกษา
  • ผู้ประเมินควรให้คำแนะนำที่มีประโยชน์เพื่อปรับปรุงบทความ และไม่ควรมีความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับผู้นิพนธ์

2.3 ความตรงต่อเวลา

  • ผู้ประเมินควรทำการประเมินให้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กำหนด
  • หากผู้ประเมินไม่สามารถทำการประเมินได้ภายในกำหนดเวลา ควรแจ้งให้บรรณาธิการบริหารทราบทันทีเพื่อตัดสินใจว่าจะให้ระยะเวลานานขึ้นหรือให้ผู้ประเมินคนอื่นรับหน้าที่แทน
  • ปกติแล้วระยะเวลาการประเมินจะอยู่ที่ 4 สัปดาห์

 

จรรยาบรรณสำหรับบรรณาธิการ

3.1 การจัดการต้นฉบับที่ส่งมา

  • บรรณาธิการวารสารมีหน้าที่พิจารณาคุณภาพของบทความ และควรประเมินบทความต้นฉบับทันทีที่ได้รับ
  • การยืนยันหรือการปฏิเสธบทความในเบื้องต้นของบทความต้นฉบับต้องส่งแจ้งให้ผู้นิพนธ์ทราบทันทีหลังการพิจารณาคุณภาพแล้วเสร็จ
  • ต้นฉบับที่ผ่านการที่อยู่ในสภาพเรียบร้อยพิจารณาคุณภาพจะต้องถูกส่งให้ผู้ประเมินโดยไม่ชักช้า

3.2 ความรับผิดชอบของบรรณาธิการ

  • บรรณาธิการต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมิน และทีมผู้บริหาร
  • บรรณาธิการต้องมีการตรวจสอบบทความในด้าน การคัดลอกผลงานผู้อื่น (Plagiarism) อย่างจริงจังโดยใช้โปรแกรที่เชื่อถือได้ เพื่อให้แน่ใจว่าบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่น
  • หากตรวจพบ การคัดลอกผลงานของผื่น ในกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการต้องหยุดกระบวนการประเมิน และติดต่อผู้นิพนธ์หลักทันทีเพื่อขชี้แจง เพื่อประกอบการ "ตอบรับ" หรือ "ปฏิเสธ"
  • ต้นฉบับทุกชิ้นที่ส่งมายังวารสารต้องผ่านกระบวนการประเมินแบบปกปิดสองทาง ที่เข้มงวด รวมถึงต้นฉบับที่ได้รับจากสมาชิกในคณะบรรณาธิการวารสาร
  • แม้ว่าบรรณาธิการจะได้รับอนุญาตให้ส่งต้นฉบับมายังวารสาร แต่การส่งต้นฉบับจากคณะบรรณาธิการเองมากเกินไปจะไม่ได้รับการอนุญาต

3.3 การจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์โดยบรรณาธิการ

  • เมื่อต้นฉบับที่บรรณาธิการได้รับอาจมีผลประโยชน์ส่วนตัวที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการตัดสินใจอย่างเป็นกลาง บรรณาธิการควรมอบหมายการจัดการต้นฉบับให้กับบรรณาธิการที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในคณะบรรณาธิการ
  • คณะบรรณาธิการจะคัดเลือกสมาชิกที่เหมาะสมเพื่อจัดการต้นฉบับอย่างเป็นธรรม ปราศจากอคติส่วนตัวที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจ