วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS <h1>วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์</h1> <h2>วารสารวิชาการรายปี (2 ฉบับต่อปี)</h2> <ul> <li><strong>ฉบับที่ 1</strong> มกราคม-มิถุนายน</li> <li><strong>ฉบับที่ 2</strong> กรกฎาคม-ธันวาคม</li> </ul> <p><strong>ISSN (Print)</strong>: 2773-9848<br /><strong>ISSN (Online)</strong>: 2697-3979</p> <hr /> <h2>จุดประสงค์การจัดทำวารสาร</h2> <p>วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ <strong>[JOIS]</strong> เป็นวารสารวิชาการรายปี (2 ฉบับต่อปี) จัดทำโดยคณะวิทยาการอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้คณาจารย์ ข้าราชการ และนักวิชาการทั่วไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการเพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิทยาการในสาขาอิสลามศึกษา มุสลิมศึกษา กฎหมายอิสลาม เศรษฐศาสตร์อิสลาม และตะวันออกกลางศึกษา</p> <hr /> <h2>สาขาและขอบเขตการตีพิมพ์</h2> <p>วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รับตีพิมพ์ผลงานวิชาการในสาขาอิสลามศึกษามุสลิมศึกษา ได้แก่:</p> <ol> <li>กฎหมายอิสลาม</li> <li>เศรษฐศาสตร์อิสลาม</li> <li>ตะวันออกกลางศึกษา</li> </ol> <hr /> <h2>กระบวนการประเมินบทความ</h2> <p>บทความต้นฉบับที่ส่งเข้าสู่ระบบของวารสาร จะได้รับการตรวจสอบเบื้องต้นโดยกองบรรณาธิการวารสารเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและขอบเขตของวารสาร และบทความทุกบทความจะผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างจำนวน 3 ท่าน</p> <p>บทความที่นำเข้าประเมิน คือ บทความวิจัยและบทความวิชาการ ส่วนบทความปริทัศน์หนังสือ/บทวิจารย์หนังสือ จะไม่ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ</p> <p>โดยใช้การประเมินแบบ <strong>Double Blinded</strong> <em>(ไม่ระบุชื่อผู้แต่งและผู้ทรงคุณวุฒิ)</em></p> <hr /> <h2>ประเภทและความยาวบทความที่รับพิจารณาตีพิมพ์</h2> <ol> <li>บทความวิจัย 8-15 หน้า</li> <li>บทความวิชาการ 8-15 หน้า</li> <li>บทวิจารณ์หนังสือ 2-5 หน้า</li> </ol> <hr /> <h2>ภาษาที่รับตีพิมพ์</h2> <p>รับพิจารณาตีพิมพ์ 4 ภาษา:</p> <ul> <li>ภาษาไทย</li> <li>ภาษาอังกฤษ</li> <li>ภาษามลายู</li> </ul> <hr /> <h2>กำหนดออก</h2> <p>เป็นวารสารวิชาการรายปี <strong>(2 ฉบับต่อปี)</strong> ฉบับละ 8 - 10 บทความ</p> <ul> <li><strong>ฉบับที่ 1</strong> มกราคม - มิถุนายน</li> <li><strong>ฉบับที่ 2</strong> กรกฎาคม - ธันวาคม</li> </ul> <hr /> <h2>การเตรียมต้นฉบับ</h2> <ul> <li><a href="https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/preparation" target="_blank" rel="noopener"><strong>ดูการเตรียมบทความ</strong></a></li> </ul> <hr /> <h2>การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ</h2> <p>กองบรรณาธิการวารสารอิสลามศึกษา ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการลงตีพิมพ์บทความในวารสารฯ บทความละ <strong>2,000 บาท</strong></p> <p>โดยจะมีการเรียกเก็บก็ต่อเมื่อ บทความได้รับการพิจารณาจากกองบรรณาธิการฯ และมีการติดต่อทาบทามผู้ทรงคุณวุฒิเรียบร้อยแล้ว</p> <p><strong>หมายเหตุ:</strong></p> <ul> <li>การเรียกเก็บจะมีการติดต่อผ่านระบบ ThaiJo โดยกองบรรณาธิการวารสาร</li> <li>ชื่อบัญชี <strong>คณะวิทยาการอิสลาม</strong> เลขที่ <strong>704-2-04239-5</strong> ภายในระยะเวลา 7 วันนับตั้งแต่ได้รับแจ้งนี้</li> <li>ท่านสามารถแจ้งสลิปการชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวที่ได้ที่ <a href="http://bit.ly/JOISPay">http://bit.ly/JOISPay</a></li> </ul> <hr /> <h2>ผู้ให้การสนับสนุนการจัดทำวารสาร</h2> <p>คณะวิทยาการอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี</p> Faculty of Islamic Sciences, Prince of Songkla University, Pattani Campus th-TH วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 2773-9848 <p>บทความทุกเรื่อง ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารอิสลามศึกษาเป็นแนวคิดของผู้เขียน มิใช่เป็นความคิดเห็นคณะผู้จัดทำและมิใช่ความรับผิดชอบของคณะวิทยาการอิสลาม กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์การคัดลอก แต่ให้มีการอ้างอิงแสดงที่มา</p> การขายบิลสาธารณูปโภคแลกเงินสดตามบทบัญญัติอิสลาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/article/view/277731 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> 1 ) เพื่อศึกษาธุรกรรมการขายบิลสาธารณูปโภคแลกเงินสดต่อหลักการของอิสลาม 2) เพื่อศึกษาการซื้อขายหนี้ตามบทบัญญัติอิสลาม</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การศึกษาเอกสาร (Document Analysis) เป็นการวิเคราะห์เอกสาร ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และเป็นการศึกษาโดยพิจารณารูปแบบของธุรกรรมการอย่างละเอียดในรูปแบบกรณีศึกษา (Case Study) ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในปัจจุบันว่า มีธุรกรรมใดบ้างและมีลำดับขั้นตอนเป็นอย่างไร มีบุคคลใดเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ค้นพบไปเปรียบเทียบกับหลักการของอิสลาม โดยการวิเคราะห์เนื้อหา การจัดระบบและตีความข้อมูลที่รวบรวมได้ เพื่อข้อค้นพบว่าเป็นสิ่งต้องห้ามตามหลักการอิสลามหรือไม่</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong>พบว่าการซื้อขายบิลสาธารณูปโภคเพื่อแลกเงินสด เป็นสิ่งต้องห้ามตามหลักการของอิสลาม เป็นธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขายหนี้ลดราคา และเกี่ยวข้องกับริบาอัล-ฟัฎล์</p> <p><strong>การนำผลวิจัยไปใช้</strong> ทำให้ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามมีความเข้าใจต่อข้อตัดสินของหลักการอิสลามต่อธุรกรรมนี้ เพื่อที่จะได้ออกห่างและไม่ไปเกี่ยวข้องกับธุรกรรมดังกล่าว</p> สมีธ อีซอ วลีด อีซอ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-28 2025-06-28 16 1 110 123 Analyzing Muhammad (SAW)’s Expedition in Mawlid al-Barzanjī Through Wilhelm Dilthey’s Hermeneutic Approach. https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/article/view/280803 <p><strong>Objectives</strong><strong>:</strong> The research aimed to analyze the contents of Mawlid al-Barzanjī about Muhammad (SAW)’s expedition as Prophet and an Apostle to the universe, using Wilhelm Dilthey's hermeneutics theory. The study analyzed three concepts of Dilthey’s approach in Mawlid al-Barzanjī: erlebnis, ausdruck and verstehen.</p> <p><strong>Methodology:</strong> Qualitative descriptive research that uses literary study. The primary data was sourced from a Prose of Mawlid al-Barzanjī by Sayyid Ja’far, especially the 12<sup>th</sup> topic, the secondary data from several references about Dilthey’s hermeneutic, Mawlid al-Barzanjī, and the of Prophet’s history. The data was collected with the documentation technique.</p> <p><strong>Research Findings</strong>: Three concepts of Dilthey’s approach in Mawlid al-Barzanjī were found: 1), The erlebnis concept indicated a deep relation between the biography of prose’s author and the history of prose. Second, the ausdruck concept showed the beautiful stylistic words, phrases, and senteces that expressed what the author intended through the verses of Mawlid. Third, the verstehen concept demonstrated the differences in time, the process, and the duties of Prophet's expedition between his being a prophet and an apostle.</p> <p><strong>Contributions:</strong> This study contributes to the Arabic literature corpus with Dilthey's hermeneutics theory. In addition, considering that Indonesia is a country with a Muslim majority, this information can be used by Muslims in Indonesia and even in other countries also by historians to expand the study of the history of Muhammad SAW and then emulate every process of his life in carrying out his duties as Allah's caliph on earth.</p> Himatul Istiqomah ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-28 2025-06-28 16 1 1 17 บทบาทของที่ปรึกษาชะรีอะฮ์ในการกำกับดูแลสหกรณ์อิสลามในประเทศไทย: มุมมองจากการบริหารจัดการสหกรณ์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/article/view/282858 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> การวิจัยนี้มุ่งประเมินบทบาทของที่ปรึกษาชะรีอะฮ์ในสหกรณ์อิสลามของประเทศไทย โดยใช้กรอบชะรีอะฮ์ภิบาลขององค์กรการบัญชีและการสอบบัญชีสำหรับสถาบันการเงินอิสลาม (AAOIFI) และคณะกรรมการบริการทางการเงินอิสลาม (IFSB)</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาสหกรณ์อิสลาม 13 แห่งในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ แบ่งเป็นสหกรณ์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง ขนาดกลาง 3 แห่ง และขนาดเล็ก 5 แห่ง โดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 25 คน</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong>พบว่าขนาดของสหกรณ์มีผลต่อโครงสร้างและประสิทธิภาพการทำงานของที่ปรึกษาชะรีอะฮ์ สหกรณ์ขนาดใหญ่มีระบบที่เป็นทางการแต่อาจขาดความเป็นอิสระ สหกรณ์ขนาดกลางมีความยืดหยุ่นแต่มีความท้าทายด้านการประสานงาน ส่วนสหกรณ์ขนาดเล็กมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรแต่ได้รับมุมมองที่เป็นกลางจากที่ปรึกษาภายนอก นอกจากนี้ยังพบปัญหาสำคัญคือการขาดกรอบกฎหมายที่ชัดเจน ไม่มีระบบการตรวจสอบด้านชะรีอะฮ์ที่เป็นทางการ มีความแตกต่างด้านค่าตอบแทน และมีความท้าทายในการบูรณาการหลักการกำกับดูแลตามหลักชะรีอะฮ์เข้ากับหลักบรรษัทภิบาล</p> <p><strong>การนำผลวิจัยไปใช้</strong> ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนากรอบกฎหมายและแนวทางการกำกับดูแลที่เหมาะสมกับขนาดสหกรณ์และบริบทของประเทศไทย รวมถึงการสร้างมาตรฐานการดำเนินงานของสหกรณ์อิสลามที่สอดคล้องกับขนาดและทรัพยากรที่มี</p> อริศ หัสมา ธวัช นุ้ยผอม อัลอามีน มะแต อัดนัน อัลฟาริตีย์ ฮากีม เจะนิ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-28 2025-06-28 16 1 18 33 การพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างเครือข่ายโดยกระบวนการชูรอเพื่อ ขับเคลื่อนเทศบาลเมืองตะลุบันสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/article/view/282233 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> 1) เพื่อพัฒนาระบบกลไกความร่วมมือระหว่างเครือข่ายโดยใช้กระบวนการชูรอสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ 2) เพื่อออกแบบผังเมืองด้านกายภาพเมือง ด้านการเข้าถึงกายภาพเมือง ด้านพื้นที่เมืองและกิจกรรม ด้านโครงข่ายของพื้นที่ และด้านบริบทสังคม และ 3) เพื่อขับเคลื่อน ติดตาม และประเมินกลไกความร่วมมือระหว่างเครือข่ายในเทศบาลเมืองตะลุบัน จังหวัดปัตตานี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การวิจัยนี้ใช้การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ในการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 34 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และชุมชนในพื้นที่เทศบาลเมืองตะลุบัน โดยมีคุณสมบัติเป็นผู้มีความรู้หรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อวิจัยไม่น้อยกว่า 5 ปี การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong>พบว่า กลไกความร่วมมือผ่านกระบวนการชูราประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ การคัดเลือกผู้นำ การวางแผน การตักเตือน การจัดระบบ การแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ และการตรวจสอบ นอกจากนี้ได้พัฒนาแผนผังเมืองรูปแบบ City Atlas สำหรับเทศบาลเมืองตะลุบันในฐานะเมืองแห่งการเรียนรู้ ครอบคลุมมิติด้านกายภาพ พื้นที่ และบริบททางสังคม โดยมี 4 กลุ่มเครือข่ายหลัก ได้แก่ ภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งมีบทบาทในการขับเคลื่อน ติดตาม และประเมินกลไกความ ร่วมมือตามบริบทและหน้าที่ของแต่ละภาคส่วน</p> <p><strong>การนำผลวิจัยไปใช้</strong> เทศบาลสามารถพัฒนากระบวนการกลไกความร่วมมือระหว่างเครือข่ายโดยใช้กระบวนการชูรอเพื่อขับเคลื่อนเทศบาลเมืองตะลุบันสู่เมืองแห่งการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรมและบุรณาการให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่</p> อับดุลย์ลาเต๊ะ สาและ อิสมาอีล ราโอบ อิรฟาน แมะอูมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-28 2025-06-28 16 1 34 45 นวัตกรรมการบริหารวิชาการโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ตามแนวคิดคุณลักษณะเยาวชนมุสลิมสำหรับสังคมโลกอนาคต https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/article/view/282713 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมการบริหารวิชาการของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามตามแนวคิดคุณลักษณะเยาวชนมุสลิมสำหรับสังคมโลกอนาคต</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> ใช้การวิจัยแบบผสมวิธีพหุระยะ แบ่งเป็น 3 ระยะ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จํานวน 111 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แบบประเมิน 2) แบบสอบถาม 3) แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการคำนวณ 1) ความถี่ 2) ค่าเฉลี่ย 3) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4) ความต้องการจำเป็น 5) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong>พบว่า นวัตกรรมการบริหารวิชาการ คือ นวัตกรรมการบริหารวิชาการเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะเยาวชนมุสลิมสำหรับสังคมโลกอนาคต ประกอบด้วย 3 นวัตกรรมย่อย คือ (1) นวัตกรรมการพัฒนาหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะเยาวชนมุสลิมสำหรับสังคมโลกอนาคตอนาคต ด้านการเรียนรู้ ด้านความคิด และด้านการปรับตัว (2) นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะเยาวชนมุสลิมสำหรับสังคมโลกอนาคต ด้านความคิด ด้านการปรับตัว และด้านการเรียนรู้ (3) นวัตกรรมการวัดและประเมินผลเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะเยาวชนมุสลิมสำหรับสังคมโลกอนาคต ด้านความคิด และด้านการเรียนรู้</p> <p><strong>การนำผลวิจัยไปใช้</strong> หน่วยงานในระดับนโยบายในพื้นที่หรือผู้บริหารการศึกษาในระดับเครือข่ายโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน ควรให้ความสำคัญในการนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการกำหนดนโยบายการบริหารโรงเรียน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะเยาวชนมุสลิมสำหรับสังคมโลกอนาคต โดยเฉพาะคุณลักษณะเยาวชนมุสลิมสำหรับสังคมโลกอนาคตที่เน้นการเสริมสร้างผู้เรียน ด้านความคิด ให้มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และด้านการเรียนรู้ ให้สามารถรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล และใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต</p> มูฮำหมัด อัซซอมาดีย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-28 2025-06-28 16 1 46 59 วะสะฏียะฮ์: คุณสมบัติและการประยุกต์ใช้หลักวะสะฏียะฮ์ในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอิสลามศึกษาและกฎหมายอิสลาม คณะวิทยาการอิสลาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/article/view/280953 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> 1) เพื่อศึกษาคุณสมบัติของหลักวะสะฏียะฮ์ในอิสลาม 2) เพื่อศึกษารูปแบบการประยุกต์ใช้หลักวะสะฏียะฮ์ในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอิสลามศึกษาและกฎหมายอิสลาม คณะวิทยาการอิสลาม</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การศึกษานี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาวิเคราะห์เอกสารที่เป็นแหล่งปฐมภูมิ เช่น หนังสือตัฟสีรของอิบนุกาษีร <em>(</em><em>Ibn Kathir)</em> อิบนุ อัลอะเราะบี <em>(</em><em>Ibn Al-Arabi)</em> อัชชันกิฏีย์ <em>(As-Shanqity) </em>อัฏเฏาะบะรีย์ <em>(</em><em>At-Tabari)</em> หนังสืออรรถาธิบายหะดีษของอัลบุคอรีย์ <em>(</em><em>Al-Bukhari) </em>โดยอิบนุ หะญัร<em>(</em><em>Ibn Hajar)</em>และหนังสืออรรถาธิบายหะดีษของมุสลิม <em>(</em><em>Muslim) </em>โดยอันนะวะวีย์ <em>(</em><em>Annawawi)</em> รวมถึงหนังสืออัฏเฏาะฮาวิยะฮ์ <em>(At-Tahawiyah)</em> นอกจากนั้นก็มีข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เจาะลึกจากคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวะสะฏียะฮ์ ซึ่งคัดเลือกด้วยวิธีแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> พบว่า วะสะฏียะฮ์เป็นหลักการสำคัญที่มีความโดดเด่นในศาสนาอิสลาม เป็นหลักการที่มีคุณลักษณะที่ปราศจากความสุดโต่ง และความหย่อนยาน วะสะฏียะฮ์ประกอบด้วย 5 คุณลักษณะหลักที่สำคัญ คือ 1) ความดีงามและความประเสริฐ 2) ความเที่ยงตรงและการดำรงไว้ซึ่งความถูกต้อง 3) ความยุติธรรมและวิทยปัญญา 4) ความสะดวกง่ายดายและไม่ลำบากในการปฏิบัติ 5) ความเป็นกลางและสมดุล หลักวะสะฏียะฮ์ดังกล่าวถูกนำมาประยุกต์ใช้ในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอิสลามศึกษาและกฎหมายอิสลาม คณะวิทยาการอิสลาม โดยได้กำหนดไว้ใน PLO 7 และ PLO 8</p> <p><strong>การนำผลการศึกษาไปใช้</strong><strong> <em> </em></strong>คุณสมบัติของหลักวะสะฏียะฮ์สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับหลักสูตรต่าง ๆ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ในส่วนของหลักสูตรนั้น หลักวะสะฏียะฮ์สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้บรรลุ PLOs และ CLOs อย่างเป็นรูปธรรม</p> อุสมาน ยูนุ อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-28 2025-06-28 16 1 60 70 แนวคิดทางการศึกษาของอิสมาอีลลุตฟี จะปะกียาว่าด้วยมุอัลลิมร็อบบานีย์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/article/view/283058 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาวัตถุประสงค์และรูปแบบการจัดการศึกษาในทัศนะของอิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา และแนวคิดของท่านที่เกี่ยวกับมุอัลลิม ร็อบบานีย์</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การศึกษาในครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ข้อมูลสำคัญได้จากการศึกษาเอกสารที่เป็นปฐมภูมิซึ่งเป็นงานเขียนของอิสมาอีลลุตฟี จะปะกียาเอง โดยเฉพาะงานเขียนที่เกี่ยวกับแนวคิดทางการศึกษา รูปแบบการจัดการศึกษาและคุณลักษณะของผู้สอน งานประพันธ์หลักที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ หนังสือเรื่องมุอัลลิมร็อบบานีย์ เรื่องอิลมุวัหยู เรื่องอุมมะตุลวาหิดะฮ์ เรื่องมาเป็นพี่น้องกันเถิด ข้อมูลที่ได้จะนำมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อหา แล้วนำเสนอแบบพรรณนาวิเคราะห์</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> พบว่าวัตถุประสงค์การศึกษาในทัศนะของอิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา คือ เพื่อรู้จักอัลลอฮ์ ศรัทธาต่อพระองค์ ได้รับสิ่งที่ดีงามและเกียรติที่มั่นคงจากพระองค์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ทางโลก รูปแบบการจัดการศึกษา จะจัดให้ครบทั้งสามรูปแบบคือ อ่านให้ฟัง สอนให้เข้าใจและอบรมให้ปฏิบัติ มีการติตตามผู้เรียนและประเมินผลการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ด้วยระบบ “อุคุวะฮ์” (ภารดรภาพ) และ“ญะมาอะฮ์” (กลุ่ม) สำหรับคุณลักษณะของมุอัลลิม ร็อบบานีย์ สามารถวิเคราะห์และแบ่งออกเป็น 3 คุณลักษณะหลัก ๆ คือ 1) <em>ความรู้และความเข้าใจ</em> ซึ่งเริ่มจากความรู้ที่ได้มาจากอัลกุรอาน สุนนะฮ์ และความเข้าใจในสาขาที่เชี่ยวชาญเฉพาะ 2) คุณลักษณะของท่านนบี ที่ประกอบด้วย <em>ศิดก์ ตับลีฆ อะมานะฮ์ และฟะฏอนะฮ์</em> 3) การมีอัคลากที่ดีงาม เช่น การอดทน ความรักความเอ็นดู ความห่วงใย ความรับผิดชอบดูแล และให้เกียรติผู้อื่น คุณลักษณะเหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติที่ดีงามซึ่งครูทุกคนต้องมี</p> <p><strong>การนำผลวิจัยไปใช้</strong> นำองค์ความรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะของมุอัลลิมร็อบบานีย์ไปประยุกต์ใช้กับครูผู้สอนในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ</p> ฟาตีฮะห์ จะปะกียา อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-28 2025-06-28 16 1 71 83 การพัฒนาชุดฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานฐานสำหรับครู ในโรงเรียนอนุบาลเอกชนแบบบูรณาการอิสลาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/article/view/283281 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> <strong>1</strong><strong>)</strong> เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้โครงงานฐานวิจัย 2) เพื่อพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานฐานวิจัยของผู้เรียน และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของครูต่อการพัฒนาชุดฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานฐานสำหรับครูในโรงเรียนอนุบาลเอกชนแบบบูรณาการอิสลาม</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนการสอนของครู กลุ่มตัวอย่างคือครู 7 คน กระบวนการวิจัยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนกลับ เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ การสังเกต ใช้คู่มืออบรมและแบบสอบถามประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแบบอธิบาย</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong>พบว่า 1) ครูส่วนใหญ่ยังใช้การสอนแบบบรรยาย และขาดการจัดกิจกรรมโครงงาน ผู้บริหาร เห็นความจำเป็นในการพัฒนครูด้านการวางแผน จัดกิจกรรม และประเมินผลโดยใช้โครงงานเป็นฐาน 2) หลังการอบรม ครูมีความเข้าใจและสามารถใช้การสอนแบบโครงงานได้ดีขึ้น คะแนนหลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรมอย่างชัดเจน และแผนการสอนรอบที่ 2 มีคุณภาพดีขึ้นกว่ารอบแรก 3) ครูมีความพึงพอใจในระดับสูงต่อกระบวนการพัฒนา สะท้อนให้เห็นว่าการอบรมมีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับ</p> <p><strong>การนำผลวิจัยไปใช้</strong> ผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเอกชนแบบบูรณาการอิสลามสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ฝึกพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานฐานวิจัยของผู้เรียนปรับตามบริบทของตนเองได้</p> ฟิตรียาห์ มาลียัน ซัมซู สาอุ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-28 2025-06-28 16 1 84 97 การวิเคราะห์ความพร้อมผลิตภัณฑ์วิสาหกิจชุมชนฮาลาลไทย: โอกาสทางการตลาดในราชอาณาจักรบาห์เรน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/article/view/285899 <p><strong>จุดประสงค์</strong> 1) เพื่อสำรวจความต้องการของผู้บริโภคชาวบาห์เรนต่อสินค้าวิสาหกิจชุมชนฮาลาลไทย 2) เพื่อศึกษาความพร้อมของผลิตภัณฑ์สินค้าวิสาหกิจชุมชนฮาลาลไทยในการส่งออกสู่ราชอาณาจักรบาห์เรน 3) เพื่อศึกษาโอกาสทางการตลาดของสินค้าวิสาหกิจชุมชนฮาลาลไทยตามความต้องการของผู้บริโภคชาวบาห์เรน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> เป็นวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือในวิธีเชิงสถิติเก็บข้อมูลประชากรชาวบาห์เรน 400 คน ส่วนเชิงคุณภาพจากการสอบถามและการสัมภาษณ์เวิสาหกิจชุมชน 50 ชุมชน ใน 5 จังหวัดชายแดนใต้และผู้ประกอบการชาวบาห์เรน 20 คน โดยหาค่าร้อยละและข้อมูลเชิงลึกจากการสัมภาษณ์</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> 1) ความต้องการของผู้บริโภคชาวบาห์เรนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 69.5) มีพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์จากกลุ่มวิสาหกิจฮาลาลไทยจำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ กลุ่มอาหาร ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูปวิสาหกิจชุมชนเกาะยอ อาหารแปรรูปวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรยั่งยืนเมืองยะลา กลุ่มเครื่องดื่ม ได้แก่ น้ำมัลเบอร์รี่วิสาหกิจชุมชนแปรรูปไร่สุทธิพัฒน์ กาแฟพื้นเมืองวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงบ้านลูโบ๊ะบาตู และกลุ่มสมุนไพร ได้แก่ ยาน้ำมันสเปรย์วิสาหกิจชุมชนฮาลาลเฮิร์บ 2) ความพร้อมของผลิตภัณฑ์วิสาหกิจชุมชน ฮาลาลไทยใน 3 กลุ่มพบว่า กลุ่มอาหารมีเอกลักษณ์สินค้าแต่ไม่พร้อมในกำลังการผลิตและช่องทางออนไลน์ กลุ่มเครื่องดื่มมีการจัดการที่ดีขึ้นแต่ไม่พร้อมในแผนขยายตลาดต่างประเทศ ส่วนกลุ่มสมุนไพรมีเครือข่ายธุรกิจแข็งแกร่งแต่ต้องพัฒนาการจัดการต้นทุนในตลาดบาห์เรน 3) สามารถใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์พื้นบ้านเพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด โดยมีปัจจัยสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ (1) ปัจจัยด้านภาพลักษณ์ของประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งอาหารและธรรมชาติ และ (2) ปัจจัยด้านความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศบาห์เรนและประเทศไทย</p> <p><strong>การนำผลวิจัยไปใช้</strong> การพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องไปประยุกต์ใช้สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจชุมชนฮาลาลไทยได้ผ่าน <strong>4 </strong><strong>แนวทางหลัก</strong> ได้แก่ <strong>(1) </strong><strong>การพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ตลาดบาห์เรน (</strong><strong>2) </strong><strong>การพัฒนาเครือข่ายและช่องทางการกระจายสินค้า (</strong><strong>3) </strong><strong>การปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานฮาลาลของบาห์เรน และ (</strong><strong>4) </strong><strong>การสร้างความร่วมมือทางธุรกิจและการลงทุน</strong></p> วสิทธิ์ มุเส็มสะเดา อัสมัน แตอาลี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-28 2025-06-28 16 1 98 109 ปริทัศน์หนังสือ “คู่มือพิชิต (ใจ) อาหรับ” https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOIS/article/view/283624 <p><strong>ชื่อหนังสือ</strong> คู่มือพิชิต (ใจ) อาหรับ</p> <p><strong>ผู้แต่งหนังสือ</strong> ดร.ศราวุฒิ อารีย์</p> <p><strong>สำนักพิมพ์</strong> ศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สนับสนุนการพิมพ์)</p> <p><strong>ปีที่พิมพ์ </strong>2567</p> <p><strong>พิมพ์ครั้งที่</strong> 1</p> <p><strong>จำนวนหน้า</strong> 183</p> นิอาบาดี มิง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-28 2025-06-28 16 1 124 130