การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดการท่องเที่ยวแบบคาเฟ่ฮอปปิ้ง (Café Hopping) บริเวณถนนเลียบริมแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม
คำสำคัญ:
การท่องเที่ยว , การส่งเสริมการตลาด , คาเฟ่ฮอปปิ้งบทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันของการดำเนินงานด้านการตลาดของธุรกิจคาเฟ่ รวมถึงการศึกษาพฤติกรรมและส่วนประสมทางการตลาดธุรกิจคาเฟ่ในจังหวัดนครพนม เพื่อนำไปประยุกต์เป็น แนวทางการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาวิจัย คือ ผู้บริโภคที่มาใช้บริการคาเฟ่ บริเวณถนนเลียบริมแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม จำนวน 400 คน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ความถี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลพบว่าส่วนใหญ่ผู้บริโภคเป็นเพศหญิงตัดสินใจเข้าใช้บริการด้วยตนเอง การศึกษาระดับปริญญาตรี สถานภาพโสด อายุ 21-30 ปี นิยมใช้บริการที่คาเฟ่เพื่อพักผ่อนหย่อนใจในช่วง เวลา 12.01-15.00 น. ของวันเสาร์และวันอาทิตย์ บริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวานน้อย มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 51-100 บาทต่อครั้ง จากข้อมูลแบบสอบถามทำให้ทราบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ชื่นชอบร้าน 8E88 Eatery-Café & Bar เพราะปัจจัยส่วนประสมการตลาดตรงตามความต้องการของผู้บริโภค จากผลการวิจัยทำให้ทราบว่าธุรกิจคาเฟ่บริเวณนี้จึงควรมีการปรับรูปแบบให้เป็นแนวทางเดียวกันเพื่อเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวแบบคาเฟ่ฮอปปิ้ง (Café Hopping) เนื่องจากวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงเวลา 18.00-22.00 น. เป็นช่วงวันที่มีผู้เข้าใช้บริการน้อยที่สุด ผู้ประกอบการควรมีการจัดทำการส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดผู้บริโภค และปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ธุรกิจคาเฟ่บริเวณถนนเลียบริมแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด จึงควรมีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ตามแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2022 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของคณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับคณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว