https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/issue/feed วารสารวิชาการเทคโนโลยีการจัดการ 2024-12-30T18:06:44+07:00 Dr.Poranee Loatong (ดร.ภรณี หลาวทอง) poranee.la@rmuti.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิชาการเทคโนโลยีการจัดการ<br />(</strong><strong>Academic Journal of Management Technology)</strong></p> <p><strong>ISSN 3027-8317 (Online)</strong><br /><strong>กำหนดเผยแพร่</strong> <strong>:</strong> ปีละ 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม และ<br />ฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายน – ธันวาคม</p> <p> วารสารที่จัดทำโดยคณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ เป็นวารสารสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รับตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ จำนวน 2 ประเภทบทความ ได้แก่ บทความวิจัยและบทความวิชาการ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ <strong>โดยตั้งแต่ปี 2567 วารสารมีกำหนดออกปีละ 3 ฉบับ</strong> ได้แก่ ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายน - ธันวาคม วารสารจัดพิมพ์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) และบทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน โดยประเมินแบบ Double-Blind Peer Review (ปิดชื่อผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความและผู้เขียน)</p> <p><strong>วารสารวิชาการเทคโนโลยีการจัดการ </strong><strong>กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการ ดังนี้</strong></p> <p> - บทความภาษาไทย บทความละ 3,000 บาท</p> <p> - บทความภาษาอังกฤษ บทความละ 4,500 บาท</p> <p><em><strong>***วารสารวิชาการเทคโนโลยีการจัดการ รับพิจารณาบทความที่เป็นไปตามเกณฑ์คุณภาพของ TCI โดย มุ่งเน้นความโปร่งใส ยึดมั่นในความถูกต้องตามหลักวิชาการ หลักศีลธรรมคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ สามารถตรวจสอบได้ ไม่เลือกปฏิบัติ ทุกคนมีความเสมอภาคกัน และคำนึงถึงคุณภาพของผลงานที่จะตีพิมพ์เผยแพร่*** <br /><a href="https://rmuti365-my.sharepoint.com/:b:/g/personal/sornanong_ma_rmuti_ac_th/EZ45i2NNwBBMtpvO4_4qrS4BzJKDPUjW-gTqMwYBXmCNMw?e=4eHkKm" target="_blank" rel="noopener">เอกสารดาวน์โหลดเกี่ยวกับข้อมูลวารสาร</a><br /></strong></em></p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/278192 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคกลุ่มเจนวายต่อการใช้งานแอปพลิเคชันไลน์แมน : การประยุกต์ทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี 2024-06-14T09:56:21+07:00 พัสกร เจียจำรูญ jearjamroon_p2@su.ac.th ธนกฤต สังข์เฉย jearjamroon_p2@su.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลด้านการรับรู้ประโยชน์ของการใช้งานแอปพลิเคชันที่ส่งผลต่อการรับรู้ความสะดวกในการใช้งาน ศึกษาอิทธิพลด้านการรับรู้ความสะดวกในการใช้งานแอปพลิเคชันที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคและศึกษาอิทธิพลของการรับรู้ประโยชน์ของการใช้งานแอปพลิเคชันต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคโดยประยุกต์ทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี กลุ่มตัวอย่างการวิจัยคือผู้บริโภคกลุ่มเจนวาย ในเขตกรุงเทพมหานครที่ใช้งานแอปพลิเคชันไลน์แมน จำนวน 250 คน ผู้วิจัยนำแบบสอบถามที่ได้รับการตอบกลับมาวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่าการรับรู้ความสะดวก ในการใช้งานแอปพลิเคชันส่งผลต่อการรับรู้ประโยชน์ของการใช้งานแอปพลิเคชันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อีกทั้ง การรับรู้ความสะดวกและการรับรู้ประโยชน์ของการใช้งานแอปพลิเคชันมีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคกลุ่มเจนวาย ดังนั้น ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ควรพัฒนาระบบการทำงานของแอปพลิเคชันให้มีความง่ายและสะดวกต่อการใช้งานเพื่อสร้างความพึงพอใจต่อผู้บริโภค</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/278981 ลักษณะเฉพาะส่วนบุคคล ปัจจัยจูงใจ และลักษณะของผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานร้านอาหาร ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร 2024-06-27T10:19:49+07:00 ณัฐฑริกา อินทฉาย nattarika955@gmail.com <p>การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบลักษณะเฉพาะส่วนบุคคลกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานร้านอาหารในกรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษาปัจจัยจูงใจ และลักษณะของผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานร้านอาหารในกรุงเทพมหานคร โดยใช้ทฤษฎีคุณลักษณะเฉพาะส่วนบุคคล ปัจจัยจูงใจ ลักษณะของผู้นำการเปลี่ยนแปลง และประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ พนักงานร้านอาหารในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน การเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ อัตราร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและใช้สถิติเชิงอนุมาน คือ t-test และ F-test ในกรณีพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ใช้การทดสอบรายคู่ด้วยวิธี LSD และวิเคราะห์การถดถอยพหุแบบมีขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า พนักงานมีระดับความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ ด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ และสถานภาพที่แตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่ไม่แตกต่างกัน ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยจูงใจด้านการประสบความสำเร็จในงาน ด้านการได้รับความเคารพนับถือหรือยอมรับ ด้านการเติบโตและก้าวหน้าในอาชีพการงาน ปัจจัยอนามัยด้านนโยบายและการดำเนินงาน ด้านปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน และด้านปฏิสัมพันธ์กับผู้นำ และลักษณะของผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านการมีอิทธิพลที่เหมาะสม และด้านการพิจารณาแบบรายบุคคลมีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานร้านอาหารในกรุงเทพมหานคร งานวิจัยนี้มีส่วนสำคัญในการแนะนำแนวทางสำหรับการกำหนดนโยบายและปรับปรุงข้อเสนอแนะภายในร้านอาหารของกรุงเทพมหานคร เน้นย้ำความสำคัญในการออกแบบแนวทางการพัฒนาที่รองรับความต้องการของพนักงาน และให้ข้อมูลในการกำหนดนโยบาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและการแข่งขันขององค์กร</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/278694 รูปแบบการจัดการฐานการเรียนรู้พิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ 2024-06-26T09:36:37+07:00 พัชรพร คูกิตติเกษม iamplantplantz@hotmail.com ภรณี หลาวทอง poranee11@gmail.com ณัฐพงษ์ พร้อมจิตร poranee11@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการฐานการเรียนรู้พิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการฐานการเรียนรู้พิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ โดยเปรียบเทียบความรู้ก่อนและหลังเข้าชมพิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ ของนักท่องเที่ยวที่มีต่อรูปแบบการจัดการฐานการเรียนรู้พิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักท่องเที่ยวที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 50 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพรูปแบบ การจัดการฐานการเรียนรู้พิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ พบว่า การพัฒนารูปแบบที่สร้างขึ้นโดยสังเคราะห์กับแนวคิดทฤษฎีที่ใช้สำหรับการสร้างรูปแบบ มีขั้นตอนการพัฒนารูปแบบ 5 ขั้นตอน และประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการฐานการเรียนรู้พิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ ได้ค่าประสิทธิภาพ 80.00/89.50 2) ผลการใช้รูปแบบการจัดการฐานการเรียนรู้พิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ โดยเปรียบเทียบความรู้ก่อนและหลังเข้าชมพิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ พบว่า ผลการเรียนรู้หลังเข้าชมสูงกว่าก่อนเข้าชม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 และ 3) ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อรูปแบบการจัดการฐานการเรียนรู้พิพิธภัณฑ์เดอะช้างโนวเลจพาร์ค จังหวัดสุรินทร์ พบว่า นักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/278136 การใช้เครื่องมือในกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างข้อตกลง ในการฟื้นฟูย่านการค้าเก่า 2024-07-15T11:04:17+07:00 จุฑามาศ วัฒนศรี juthamas_arch@outlook.com ชูวิทย์ สุจฉายา Juthamas_arch@outlook.com <p> “ถนนจำเริญวิถี หรือ ถนนหลังวิกดาว” เป็นถนนเส้นสำคัญในย่านท่าวังที่เชื่อมต่อกับถนนสายสำคัญโดย รอบย่านเมืองเก่านครศรีธรรมราช ซึ่งมีบทบาทรองรับกิจกรรมทางสังคม และวิถีชีวิตของผู้คนตั้งแต่ในอดีตอย่างไรก็ตามปัจจุบันย่านเมืองเก่าเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจถดถอย และการพัฒนาพื้นที่ในเขตเมืองใหม่ส่งผลให้ย่านท่าวังเกิดความเสื่อมโทรม อีกทั้งยังมีปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับการตั้งร้านค้าแผงลอยที่กีดขวางหน้าร้านตึกแถวจนนำไปสู่ข้อพิพาทในพื้นที่ ดังนั้นงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบการปรับปรุงพื้นที่ถนนจำเริญวิถีอย่างมีส่วนร่วม โดยคำนึงถึงการอนุรักษ์คุณค่าทางสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของย่านท่าวัง การศึกษาเริ่มจากการสำรวจเก็บข้อมูล วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อพัฒนากระบวนการออกแบบที่ใช้เครื่องมือทางสถาปัตยกรรมในการปรับปรุงทางกายภาพ และจัดทำข้อตกลงร่วมกันในการบริหารจัดการพื้นที่ โดยอิงหลักการฟื้นฟูย่านตามหลักการฟื้นฟูย่านด้วยถนนสายสำคัญ (Main Street Approach) อันเป็นกรอบแนวคิดหลักของงานวิจัยสรุปผลการวิจัยพบว่า ถนนจำเริญวิถีเป็นพื้นที่มีศักยภาพในการฟื้นฟูคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และคุณค่าทางจิตใจของผู้คน โดยเน้นพัฒนาพื้นที่ในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่นำเสนอคุณค่าทางวิถีชีวิต (Intangible Value) ของคนย่านท่าวังด้วยเรื่องราวด้านภาพจำและความเป็นถิ่นที่ (Sense of Place) โดยได้ข้อสรุปเป็นแบบร่างการปรับปรุงและบริหารจัดการพื้นที่ถนนจำเริญวิถีเบื้องต้น (Preliminary) และร่างข้อตกลงร่วมกันในการฟื้นฟูย่านท่าวังของตัวแทนกลุ่มผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบเพื่อนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาและฟื้นฟูย่านท่าวังต่อไป</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/279312 เพศสภาพ ภาษา และการเมืองในการนำเสนอภาพลักษณ์พระสงฆ์ผ่านสื่อ : กรณีศึกษาการวิเคราะห์หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นออนไลน์ 2024-08-02T10:02:37+07:00 พิสุทธิ์พงศ์ เอ็นดู suparat.wa@rmuti.ac.th นุชสรา บุญแสน suparat.wa@rmuti.ac.th สรพันธ์ นันต๊ะภูมิ suparat.wa@rmuti.ac.th ฉายศรี ศรีพรหม suparat.wa@rmuti.ac.th รัตนา นามปัญญา suparat.wa@rmuti.ac.th คมกริช พยัคฆนันท์ suparat.wa@rmuti.ac.th กันทนา ตลับทอง suparat.wa@rmuti.ac.th ศุภรัตน์ วัลกานนท์ Suparat.wa@rmuti.ac.th <p>การวิจัยนี้เป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงซ้อนระหว่างเพศสภาพ ภาษา และการเมืองในการนำเสนอภาพลักษณ์พระสงฆ์ผ่านสื่อในประเทศไทย โดยศึกษาหัวข้อข่าวจำนวน 56 หัวข้อจากหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นออนไลน์ที่เผยแพร่ระหว่างปี พ.ศ. 2556 - 2566 ทำการวิเคราะห์โดยใช้ ทฤษฎีภาษาศาสตร์เชิงเพศสภาพ การวิเคราะห์ วาทกรรมเชิงวิพากษ์ ทฤษฎีการวางกรอบความคิด ทฤษฎีการสื่อสารทางการเมือง และแนวคิดอัตลักษณ์ทับซ้อน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นภาพลักษณ์พระสงฆ์ที่ในหลายมุมมอง ซึ่งมีส่วนกำหนดบรรทัดฐานทางสังคม ความคาดหวังทางเพศสภาพ ตลอดจนพลวัตทางการเมือง ผลการวิเคราะห์พบว่า ร้อยละ 65 ของหัวข้อข่าวมีการใช้ภาษาที่สื่อถึง เพศสภาพ โดยมีสัดส่วนการใช้คำสรรพนามเพศชายร้อยละ 78 และเพศหญิงร้อยละ 22 การวางกรอบเนื้อหาเชิงการเมืองคิดเป็นร้อยละ 42 ขณะที่การวางกรอบแบบดั้งเดิม/อนุรักษ์นิยมคิดเป็นร้อยละ 45 นอกจากนี้ยังพบการใช้ภาษาที่ยังคงยึดเพศชายเป็นศูนย์กลางในการนำเสนอวิถีชีวิตสงฆ์ แม้ว่าการรายงานข่าวเกี่ยวกับการบวชของสตรีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงพัฒนาการของวาทกรรมด้านเพศสภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับงานวิจัยที่ผ่านมา พบความต่อเนื่องของแนวโน้มเดิมและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะในมิติการนำเสนอเพศสภาพ ซึ่งสื่อมีบทบาทสำคัญในการต่อรองพื้นที่ของพระพุทธศาสนาในสังคมไทยร่วมสมัยโดยพยายามสร้างดุลยภาพระหว่างคุณค่าดั้งเดิมกับแนวคิดสมัยใหม่ การศึกษานี้ช่วยให้เกิดความเข้าใจเชิงปฏิสัมพันธ์ระหว่างการนำเสนอผ่านสื่อกับมุมมองทางสังคมด้านเพศสภาพและศาสนาในประเทศไทย พร้อมข้อเสนอแนะสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านสื่อ ผู้กำหนดนโยบาย และสถาบันศาสนา</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/279773 ความเชื่อถือต่อรายการข่าวเศรษฐกิจทางสื่อสังคมของคนเจเนอเรชั่น X Y และ Z 2024-07-15T15:50:29+07:00 นฤมล สิงหประเสริฐ narumon_won@utcc.ac.th อรพรรณ สุนทรกลัมพ์ narumon_won@utcc.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการเปิดรับ และความเชื่อถือต่อรายการข่าวเศรษฐกิจทางสื่อสังคมของผู้รับสารเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ วาย และซี โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเฉพาะผู้รับสารทางสื่อออนไลน์ในประเทศไทยที่มีอายุตั้งแต่ 15 - 59 ปี และเคยชมรายการข่าวเศรษฐกิจทางสื่อสังคมอย่างน้อย 1 แพลตฟอร์ม ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัย โดยผ่านการทดสอบความตรง (Validity) และความเชื่อถือได้ (Reliability) ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค 0.87 และ 0.88 ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 - 20 กุมภาพันธ์ 2567 ได้แบบสอบถามที่สมบูรณ์ 352 ชุด นำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติ เชิงบรรยาย ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ ไคสแควร์ (Chi Square) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One Way ANOVA) ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ชมรายการข่าวเศรษฐกิจจากเฟซบุ๊ก รองลงมาคือ ยูทูป สำหรับผลการทดสอบสมมติฐานด้วย Chi Square และ One Way ANOVA ที่นัยสำคัญทางสถิติ 0.05 พบว่า ผู้รับสารเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ วาย และซี มีการเปิดรับรายการข่าวเศรษฐกิจทางสื่อสังคมแตกต่างกันจากไลน์ (Line) และติ๊กต็อก รวมถึงมีความเชื่อถือต่อรายการข่าวเศรษฐกิจทางสื่อสังคมด้านเนื้อหาแตกต่างกันในประเด็นการวิเคราะห์และอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และมีความเชื่อถือฯ ด้านผู้ดำเนินรายการแตกต่างกันในประเด็นของความมีชื่อเสียง</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/279177 ผลกระทบของการบัญชีต้นทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2024-08-02T09:51:21+07:00 สุกัญญา วรพิมพ์รัตน์ sukunya.wo@rmuti.ac.th สุวรรณ หวังเจริญเดช Suwan.w@acc.msu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการบัญชีต้นทุนเชิงกลยุทธ์กับ ความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) ทดสอบผลกระทบของการบัญชีต้นทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีต่อความได้เปรียบ ทางการแข่งขันของธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 217 บริษัท ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเมนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหารธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีความคิดเห็นด้วยเกี่ยวกับการบัญชีต้นทุนเชิงกลยุทธ์โดยรวม ด้านการบริหารฐานกิจกรรม ด้านการบัญชีต้นทุนคุณลักษณะ ด้านการบัญชีต้นทุนวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ด้านการบัญชีต้นทุนคุณภาพ ด้านการบัญชีต้นทุนเป้าหมาย และด้านการบัญชีต้นทุนห่วงโซ่คุณค่า อยู่ในระดับมาก และ ผู้บริหารธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีความคิดเห็นด้วยเกี่ยวกับความได้เปรียบทางการแข่งขันโดยรวม ด้านการลดต้นทุนหรือต้นทุนต่ำ ด้านความแตกต่าง และด้านมุ่งเฉพาะกลุ่ม อยู่ในระดับมาก และ 2) การบัญชีต้นทุนเชิงกลยุทธ์มีผลกระทบเชิงบวกต่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน ด้านการบริหารฐานกิจกรรม ด้านการบัญชีต้นทุนคุณลักษณะ ด้านการบัญชีต้นทุนคุณภาพ และด้านการบัญชีต้นทุนห่วงโซ่คุณค่า ดังนั้น ผู้บริหารธุรกิจจึงต้องให้ความสำคัญกับการบัญชีต้นทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงแนวทาง ปรับปรุงการบริหารต้นทุน นำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารองค์กร เพื่อเกิดความสำเร็จในการดำเนินงานที่ดีกว่าคู่แข่งในระยะยาว</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/279731 การตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางผ่าน Facebook ของนักศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระราชูปถัมภ์ 2024-08-07T11:33:20+07:00 วิรัลพัชร มงคลอำนวย wiranpat.mo@rmuti.ac.th ธิติรัตน์ วงษ์กาฬสินธุ์ thitirat@vru.ac.th โชติกา ฉิมงามเสริฐ thitirat@vru.ac.th ธาริกา รัตนโสภานิช thitirat@vru.ac.th นนิตา สมบุตร thitirat@vru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางออนไลน์ของนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระราชูปถัมภ์ ผ่านแพลตฟอร์ม Facebook โดยประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 - 4 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระราชูปถัมภ์ ซึ่งกำหนดกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย จำนวน 384 คน ที่เป็นนักศึกษาตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 - 4 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระราชูปถัมภ์ ที่เคยซื้อเครื่องสำอางออนไลน์ผ่านทางแพลตฟอร์ม Facebook โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น จากการสุ่มแบบเจาะจงโดยกำหนดคุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่าง งานวิจัยนี้ได้เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ซึ่งสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานเพื่อทดสอบสมมติฐานโดยใช้การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่เป็นอิสระจากกัน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับชั้นปี และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของผู้ตอบแบบสอบถามที่แตกต่างกันส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม Facebook ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดจำนวน 2 ด้านเท่านั้น ได้แก่ ด้านราคาและด้านการส่งเสริมการตลาด ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม Facebook ในทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/274381 การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกผักปลอดภัยของกลุ่มเกษตรกร ในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ 2024-06-11T11:20:36+07:00 นภาลัย บุญทิม nbacc2020@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกผักปลอดภัยของกลุ่มเกษตรกรในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ จากเกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดภัย ในกลุ่มแปลงใหญ่ ตำบลปากช่อง ตำบลปากดุก ตำบลบ้านหวาย และ ตำบลบ้านกลาง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP จำนวน 46 คน จากผลการศึกษา พบว่า การปลูกผักปลอดภัยสำหรับพื้นที่ปลูก 1 ไร่ มีต้นทุนเฉลี่ยรวมต่อปีของผักชีฝรั่ง 90,648 บาท ผักกวางตุ้ง 75,882 บาท กะหล่ำดอก 58,059 บาท ผักกาดขาว 44,932 บาท ส่วนใหญ่ เป็นค่าใช้จ่ายในการปลูก การดูแล และการเก็บเกี่ยว สำหรับการวิเคราะห์ผลตอบแทน พบว่า การจำหน่ายผักกาดขาว มีกำไร 164,408 บาท อัตราส่วนกำไรสุทธิ ร้อยละ 78.54 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน 3.66 ผักกวางตุ้ง มีกำไร 146,491 บาท อัตราส่วนกำไรสุทธิ ร้อยละ 65.88 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน 1.94 กะหล่ำดอก มีกำไร 134,451 บาท อัตราส่วนกำไรสุทธิ ร้อยละ 69.84 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน 2.32 แสดงให้เห็นว่า การลงทุนปลูกผักทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว คุ้มค่ากับการลงทุนเนื่องจากได้รับผลตอบแทนค่อนข้างสูง ในขณะที่ผักชีฝรั่ง มีกำไร 62,856 บาท อัตราส่วนกำไรสุทธิ ร้อยละ 40.95 ผลตอบแทนที่ได้รับค่อนข้างน้อย และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน 0.60 แสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกผักชีฝรั่งไม่คุ้มค่า ดังนั้น เกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดภัยสามารถกำหนดแนวทางการบริหารจัดการต้นทุน และการวางแผนการลดต้นทุนเพื่อให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/276010 ปัจจัยที่มีผลต่อทักษะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษาสาขาการตลาดดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม 2024-03-27T13:22:52+07:00 กิ่งแก้ว อภิรักษสกุล kingkeaw.po@spu.ac.th ประเสริฐ สิทธิจิรพัฒน์ kingkeaw.po@spu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับทักษะการทำงานเป็นทีม และกระบวนการเรียนรู้เชิงรุกแบบมีส่วนร่วมของนักศึกษาสาขาการตลาดดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้วิจัยกำหนดกลุ่มตัวอย่าง ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจทุกคนที่ลงทะเบียนในรายวิชา MKT453 การจัดการช่องทางการตลาดมหาวิทยาลัยศรีปทุมภาคการศึกษาที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2565 ทั้งหมด จำนวน 93 คนเท่านั้น ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการรวบรวมแบบสอบถามที่ได้รับทั้งหมด นำมาวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติเพื่อการวิจัย โดยกำหนดระดับความมีนัยสำคัญที่ 0.05 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้ มีดังนี้ ค่าความถี่ และค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผู้วิจัยใช้สถิติการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent การทดสอบค่าที (t-test) แบบ Independent การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย ภาพรวมพบว่า กระบวนการจัดการเรียนการสอนเชิงรุกแบบมีส่วนร่วมของนักศึกษา รายวิชา MKT453 การจัดการช่องทางการตลาด อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านภาพรวมทักษะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษา อยู่ในระดับมาก เช่นกัน ผลจากการวิจัยครั้งทำให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาออกแบบกิจกรรมการสอนและได้พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษารายวิชา MKT453 การจัดการช่องทางการตลาดด้วยกระบวนการเรียนรู้เชิงรุกแบบมีส่วนร่วม และผลการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางในการดูแลรักษานักศึกษาให้ประสบความสำเร็จ ในการเรียนการสอนให้สามารถทำงานเป็นทีมได้ อีกทั้งผลการวิจัยจะช่วยให้ผู้บริหารและอาจารย์ใช้ในการกำหนดนโยบายและวางแผนในการออกแบบกิจกรรมการสอนได้อย่างเหมาะสม</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jomt/article/view/278587 วัฒนธรรมองค์กรกับการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2024-07-03T11:02:15+07:00 พีระ ดีเลิศ janjira_d@aru.ac.th จันจิรา ดีเลิศ janjira_d@aru.ac.th พิชญ์วรา จันทร์แย้ม janjira_d@aru.ac.th <p>การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษา ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาต้องตื่นตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่อย่างไม่หยุดยั้ง การบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลจึงถือเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับผู้บริหารที่จะต้องปรับเปลี่ยนหลักการบริหารให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลเพื่อให้สถานศึกษาปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเทคโนโลยีดิจิทัล บทความวิชาการนี้วิเคราะห์วัฒนธรรมองค์กรกับการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยใช้ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร และการบริหารสถานศึกษา มาวิเคราะห์ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลในบริบทของวัฒนธรรมองค์กรกับการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล จากการวิเคราะห์มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรกับการบริหารสถานศึกษา ในยุคดิจิทัล ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) วัฒนธรรมองค์กร 2) เทคโนโลยี และ 3) การบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ทั้งนี้สถานศึกษาในยุคดิจิทัลจำเป็นต้องมีวัฒนธรรมองค์กรที่มีการผสมผสานกันอย่างเหมาะสม และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้เท่าทันกับเทคโนโลยี โดยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงาน ตลอดจนต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และบริบทของการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ระบบการบริหารสถานศึกษาทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านบุคคล และด้านการบริหารงานทั่วไป มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ที่จะส่งผลให้สถานศึกษาบรรลุผลสำเร็จ ตามเป้าหมายขององค์กร ตลอดจนการตอบสนองต่อการศึกษาในอนาคตเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์