การออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบสะเต็มศึกษา เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ เชิงความคิดสร้างสรรค์ในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์

ผู้แต่ง

  • ปาจรีย์ เนรมิตพานิชย์
  • พรรณวิไล ชมชิด
  • วันดี รักไร่

คำสำคัญ:

การออกแบบ, แผนจัดการเรียนรู้, สะเต็มศึกษา

บทคัดย่อ

การวิจัยในครั้งนี้เพื่อออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบสะเต็มศึกษาในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ มีวัตถุประสงค์
1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้เชิงความคิด
สร้างสรรค์ เรื่องแรงแม่เหล็ก 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้
ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา โดยใช้การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อประเมินความคิดสร้างสรรค์
ของนักเรียนหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา และ 4) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่าง
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา และความคิด
สร้างสรรค์ของนักเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2
จานวน 32 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม อาเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
สังกัดสานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสะเต็มศึกษา
จานวน 1 แผน ระยะเวลา 14 ชั่วโมง แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จานวน 30 ข้อ และแบบประเมินความคิดสร้างสรรค์
จานวน 8 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t- test แบบ dependent samples
ผลการวิจัยพบว่า

1. แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสะเต็มศึกษา เรื่องแรงแม่เหล็ก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ได้รับการประเมิน
เพื่อกาหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพโดยให้ประสิทธิภาพการประมวลผลและผลการปฏิบัติงาน (E1/E2) ของการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ
สะเต็มศึกษา มีค่าเท่ากับ 91.42/80.10
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา
เรื่องแรงแม่เหล็ก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ผลการประเมินความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้รูปแบบสะเต็มศึกษา อยู่ในระดับดี
มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.91
4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา
และความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551.

กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). คู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา
ลาดพร้าว.

มนตรี จุฬาวัฒนทล. (2556). “สะเต็มศึกษาประเทศไทยและทูตสะเต็ม.” นิตยสาร สสวท. ปีที่ 42. (ฉบับที่ 185) : 14-18.

วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: มูลนิธิสด ศรีสฤษดิ์วงศ์.

พรทิพย์ ศิริภัทราชัย. (2556). STEM Education กับการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: วารสารนักบริหาร
33(2), (เมษายน- มิถุนายน 2556).

สุพรรณี ไชยประเสริฐ. (2557). สะเต็มศึกษากับการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. การบริหารการศึกษา. การเรียนรู้
สะเต็มศึกษา. นิตยสาร สสวท. ปีที่ 42 ฉบับที่ 186 (มกราคม–กุมภาพันธ์ 2557).

อภิสิทธิ์ ธงไชย. (2556). สะเต็มศึกษากับการพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์
ในประเทศสหรัฐอเมริกา. สมาคมครูวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและคณิตศาสตร์แห่งประเทศไทย. (19 มกราคม 2556)

อภิสิทธิ์ ธงไชย. (2556). สรุปการบรรยายพิเศษเรื่องสะเต็มศึกษาและการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ (STEM Education and
Creative Enhancemaent). สืบค้นจาก http://www.chancoaching.rbru.ac.th/images/stem.pdf

อภิสิทธิ์ ธงไชย. (2556, มกราคม-ธันวาคม). “สะเต็มศึกษากับการพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์
และคณิตศาสตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกา,” วารสารสมาคมครูวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย.
19 : 15-18.

อารี พันธ์มณี. (2545). ฝึกให้คิดเป็น คิดให้สร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: ใยไหม.
Anderson. James E. (1970). Public Policy Making. Longman Publication.USA.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2017-12-31

รูปแบบการอ้างอิง

เนรมิตพานิชย์ ป., ชมชิด พ., & รักไร่ ว. (2017). การออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบสะเต็มศึกษา เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ เชิงความคิดสร้างสรรค์ในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, 11(2), 144–152. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/reru/article/view/176357

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย