ความรู้และแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อการจัดการภาวะไข้ในเด็กของผู้ดูแล
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model ) ที่ส่งผลต่อการจัดการภาวะไข้ในเด็กของผู้ดูแล ได้แก่ ปัจจัยด้านความรู้ ปัจจัยด้านการรับรู้เกี่ยวกับภาวะไข้ของผู้ดูแลในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ และปัจจัยร่วม คือ ข้อมูลของผู้ดูแลและข้อมูลของเด็กที่มีไข้ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เขตพื้นที่เทศบาลเมืองบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จำนวน 6 แห่ง รวม 240 คน โดยผู้ดูแล 1 คน ต่อ เด็ก 1 คน ผู้ดูแลต้องเป็นผู้ดูแลหลัก อายุ 18-65 ปี และให้การดูแลเด็กอายุ 2- 4 ปี รูปแบบการศึกษาในครั้งนี้คือ วิจัยเชิงพรรณนาในลักษณะการศึกษา ณ จุดเวลา
เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลเป็บแบบสอบถาม ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรู้ในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ของผู้ดูแล แบบสอบถามการรับรู้ความเชื่อในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ของผู้ดูแล และแบบสอบถามการจัดการภาวะไข้ในเด็กของผู้ดูแล ค่าความเที่ยงจากการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคอยู่ระหว่าง .75-.90 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและสมการถดถอยแบบพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการรับรู้ความเชื่อในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเหมาะสมปานกลาง ( =59.30, S.D. = 8.099) ปัจจัยด้านความรู้ของผู้ดูแลในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ มีค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ในระดับถูกต้องปานกลาง ( =10.24, S.D. = 2.121) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการภาวะไข้ของผู้ดูแล จากการศึกษาพบว่า ตัวแปรที่ส่งผลต่อการจัดการภาวะไข้ของผู้ดูแลมี 3 ตัวแปร ได้แก่ ผู้ดูแลมีประสบการณ์ในการดูแลเด็กเมื่อมีไข้ ความรู้ในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ และการรับรู้ความเชื่อในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ตามทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) มีค่าสมการถดถอย (Beta) เท่ากับ 0.137, 0.228 และ 0.477 ตามลำดับ ตัวแปรทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการภาวะไข้ในเด็กของผู้ดูแลได้ ร้อยละ 43 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model ) ที่ส่งผลต่อการจัดการภาวะไข้ในเด็กของผู้ดูแล ได้แก่ ปัจจัยด้านความรู้ ปัจจัยด้านการรับรู้เกี่ยวกับภาวะไข้ของผู้ดูแลในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ และปัจจัยร่วม คือ ข้อมูลของผู้ดูแลและข้อมูลของเด็กที่มีไข้ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เขตพื้นที่เทศบาลเมืองบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จำนวน 6 แห่ง รวม 240 คน โดยผู้ดูแล 1 คน ต่อ เด็ก 1 คน ผู้ดูแลต้องเป็นผู้ดูแลหลัก อายุ 18-65 ปี และให้การดูแลเด็กอายุ 2- 4 ปี รูปแบบการศึกษาในครั้งนี้คือ วิจัยเชิงพรรณนาในลักษณะการศึกษา ณ จุดเวลา
เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลเป็บแบบสอบถาม ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรู้ในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ของผู้ดูแล แบบสอบถามการรับรู้ความเชื่อในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ของผู้ดูแล และแบบสอบถามการจัดการภาวะไข้ในเด็กของผู้ดูแล ค่าความเที่ยงจากการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคอยู่ระหว่าง .75-.90 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและสมการถดถอยแบบพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีค่าเฉลี่ยของคะแนนการรับรู้ความเชื่อในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเหมาะสมปานกลาง ( =59.30, S.D. = 8.099) ปัจจัยด้านความรู้ของผู้ดูแลในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ มีค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ในระดับถูกต้องปานกลาง ( =10.24, S.D. = 2.121) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการภาวะไข้ของผู้ดูแล จากการศึกษาพบว่า ตัวแปรที่ส่งผลต่อการจัดการภาวะไข้ของผู้ดูแลมี 3 ตัวแปร ได้แก่ ผู้ดูแลมีประสบการณ์ในการดูแลเด็กเมื่อมีไข้ ความรู้ในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ และการรับรู้ความเชื่อในการดูแลเด็กที่มีภาวะไข้ตามทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) มีค่าสมการถดถอย (Beta) เท่ากับ 0.137, 0.228 และ 0.477 ตามลำดับ ตัวแปรทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการภาวะไข้ในเด็กของผู้ดูแลได้ ร้อยละ 43 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษรเอกสารอ้างอิง
ควบคุมโรค,กรม. (2563). รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา. กระทรวงสาธารณสุข. สืบค้น 21 พฤษภาคม 2563, จาก https://ddc.moph.go.th/index.php
จารุวรรณ แหลมไธสง. (2562). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจของผู้ดูแลเด็กปฐมวัยในศูนย์เด็กเล็กกรุงเทพมหานคร. วารสารพยาบาลสาธารณสุข. 33(1), 1-19.
บุษกร พันธ์เมธาฤทธิ์, ลักขณา คงแสง, จุฑารัตน์ คงเพ็ชร, ปราณี คำจันทร์, ลดาวัลย์ ประทีปชัยกูร และพรทิพย์
พูลประภัย
(2562). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลเด็กของผู้ปกครองในการป้องกันควบคุมโรคติดต่อที่บ้าน. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์. 39(2), 23-36
พัชราภรณ์ บดีรัฐ. (2558). ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรค มือ เท้า ปากของผู้ปกครอง และผู้ดูแลเด็ก
ก่อนวัยเรียน ในศูนย์เด็กเล็ก อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร. รายงานการประขุมวิชาการและนำเสนอผลการวิจัย ระดับชาติและนานาชาติ ครั้งที่ 6 กลุ่มระดับชาติ ด้านวิทยาศาสตร์. สืบค้น 21 พฤษภาคม 2563, จาก http://journalgrad.ssru.ac.th/index.php/5-01/article/view/135/231
เพียงเพ็ญ เดชพร. (2559). ความรู้และการจัดการเมื่อเด็กมีไข้ของผู้ปกครองเมื่อเด็กมีภาวะไข้. ชัยภูมิเวชสาร. 36(1), 39-49.
วิบูลย์ กาญจนพัฒนกุล. (2534). ความรู้และพฤติกรรมของบิดา/มารดาต่อภาวะไข้ในเด็ก. สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี. สืบค้น 21 พฤษภาคม 2563, จากhttp://dlibrary.childrenhospital.go.th/handle/ 6623548333 /642
ศุภิสา ลี้มิ่งสวัสดิ์. (2555). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการของบิดามารดาเมื่อเด็กมีภาวะไข้. The Journal of Faculty of Nursing Burapha University. 20(2), 9-20.
Bloom, B. S. (1971). Handbook on formative and summative evaluation of student learning. New York : McGraw–Hill..
Cohen, J. (1992). Quantitative Methods inPsychology: A PowerPrimer. Psychological Bulletin. 112(1),155–159.
Krejcie, R. V., and Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activi- ties. Educational and Psychological Mea- surement. 30, 607–610.
Rosentok, I. M., Strecher, V. J. & Becker, M. H. (1988, Summer). Social Learning Theory and the HealthBelief Model. Health Education Quarterly. 15(2), 175-183.
Sanjana, T., Nida, L., Pawan, K. S., & Enakshi, G. (2018). Fever awareness, management practices andtheir correlates among parents of under five children in urban India. Int J Contemp Pediatrics. 5(4), 1368–1376.
Walsh, A. (2007). Influences on parents’ fever management: beliefs, experiences and informationsources. Clin Nurs. 16(12), 2331-2340.