ผลการพัฒนาโรงเรียนในโครงการครูรักษ์ถิ่นด้วยการหนุนเสริม S.A.V.E Model

ผู้แต่ง

  • คัชรินทร์ มหาวงศ์ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดพะเยา จังหวัดพะเยา 56000
  • ศุภโชค ปิยะสันต์ โรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี จังหวัดเชียงราย 57240
  • นรินธน์ นนทมาลย์ สาขาเทคโนโลยีทางการศึกษา วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา จังหวัดพะเยา 56000
  • สกาวรัตน์ ไกรมาก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 จังหวัดพะเยา 56000

คำสำคัญ:

S.A.V.E Model, การหนุนเสริม, โรงเรียนในโครงการครูรักษ์ถิ่น

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลการประเมินการดำเนินงานตามมาตรการคุณภาพ 6Q ก่อนและหลังดำเนินการพัฒนาโรงเรียนในโครงการครูรักษ์ถิ่น ด้วยการหนุนเสริม S.A.V.E Model  2) เปรียบเทียบผลการประเมินการดำเนินงานตามมาตรการคุณภาพ 6Q จำแนกตามตำแหน่ง ภาค และขนาดของโรงเรียน หลังดำเนินการพัฒนาโรงเรียนในโครงการครูรักษ์ถิ่นด้วยการหนุนเสริม S.A.V.E Model กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียนในโครงการครูรักษ์ถิ่น จำนวน 249 โรงเรียน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น ผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 3 คน คือ ครู ผู้บริหาร และทีมหนุนเสริมเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการคุณภาพ 6Q วิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติ Wilcoxon Signed Ranks Test,  Kruskal-Wallis Test และ Mann-Whitney Test

ผลการวิจัย พบว่า 1) โดยภาพรวมผลการประเมินการดำเนินงานตามมาตรการคุณภาพ 6Q หลังดำเนินการสูงกว่าก่อนดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05  2) ผลการเปรียบเทียบผลการประเมินการดำเนินงานตามมาตรการคุณภาพ 6Q หลังดำเนินการด้วยรูปแบบการหนุนเสริม S.A.V.E Model จำแนกตามตำแหน่ง ภาค และขนาด พบว่า ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามตำแหน่ง  ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลเปรียบเทียบจำแนกตามภาค พบว่า มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อเปรียบเทียบตามขนาด พบว่า โรงเรียนที่มีขนาดตั้งแต่ 720 คนขึ้นไป มีผลการดำเนินการแตกต่างจากขนาดอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

เอกสารอ้างอิง

กนกพิชญ์ อุ่นคง. (2565). ถอดบทเรียน 4 โมเดล พัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ สู่อนาคตการศึกษาที่ยั่งยืน. จาก https://thepotential.org/social-issues/50th-education-journey/.

กัลชิญา ทองหัตถา. (2565). ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1. (วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต). สงขลา: มหาวิทยาลัยหาดใหญ่.

กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม. (2562). คู่มือการจัดทำคู่มือปฏิบัติงาน (Work Manual). กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม.

จิรภัทร มหาวงค์. (2559). การพัฒนารูปแบบการบริหารเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารบนเขตพื้นที่สูง. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 18(4),114-127.

วาโร เพ็งสวัสดิ์. (2552). การวิจัยและพัฒนารูปแบบ. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร, 2(4), 9-10.

วิยดา เหล่มตระกูล, จุติมา เมทนีธร, ศศิวรรณ พชรพรรณพงษ์, นงลักษณ์ ใจฉลาด, หฤทัย อนุสสรราชกิจ, อารี สาริปา, ณรงค์ฤทธิ์ อินทนาม และ วิทเอก สว่างจิตร. (2562). โครงการวิจัยและพัฒนาแนวทางการหนุนเสริมทางวิชาการเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตและพัฒนาครูโดยบูรณาการแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา ระบบพี่เลี้ยง และการวิจัยเป็นฐานของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ: รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.

สมาน อัศวภูมิ. (2550). เส้นทางสู่คุณภาพและมาตรฐาน (พิมพ์ครั้งที่ 8). อุบลราชธานี: ออฟเซทการพิมพ์.

สำนักงานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2564). การพัฒนารูปแบบการหนุนเสริมโรงเรียนในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น (รายงานการวิจัย). กรุงเทพฯ: กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา.

สำนักงานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. คู่มือการดำเนินการสำหรับทีมหนุนเสริมการพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาครูรุ่นใหม่ โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น. กรุงเทพฯ: กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา.

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2561). แนวทางการพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในโรงเรียน. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.

อรรถพงษ์ อินต๊ะวงศ์, อนุชา กอนพ่วง, ปกรณ์ ประจันบาน และ ธีรศักดิ์ อุปไมยอธิชัย (2566). รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนทั้งระบบของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร, 11(3), 951–964. จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/256255.

Castaner, X., & Oliveira, N. (2020). Collaboration, coordination, and cooperation among organizations: Establishing the distinctive meanings of these terms through a systematic literature review. Journal of Management, 46(6), 965–1001.

Cefai, C., Downes, P., & Cavioni, V. (2021). A systemic, whole-school approach to mental health and well-being in schools in the EU (NESET Analytical Report No. 2/2021). Publications Office of the European Union. Form https://nesetweb.eu/wp-content/uploads/2021/10/NESET-AR2-2021.pdf.

Fullan, M. (2007). The new meaning of educational change (4th ed.). New York: Teachers College Press.

Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and psychological measurement, 30(3), 607-610.

UNESCO & UNICEF. (2021). How to include the whole school in foundational education for health and well-being (Briefing Sheet No. 3). Form https://www.unicef.org/media/158036/file/BSF3.%20How%20to%20Include%20the%20Whole%20School%20in%20Foundational%20Education%20for%20Health%20and%20Well-being.pdf.pdf.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-05-22

รูปแบบการอ้างอิง

มหาวงศ์ ค. ., ปิยะสันต์ ศ. ., นนทมาลย์ น., & ไกรมาก ส. . (2025). ผลการพัฒนาโรงเรียนในโครงการครูรักษ์ถิ่นด้วยการหนุนเสริม S.A.V.E Model . Trends of Humanities and Social Sciences Research, 13(1), 66–80. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/Humanties-up/article/view/286154

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย