ความสัมพันธ์ของการรับรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจัง ของนักเรียนโรงเรียนสารวิทยา

Main Article Content

กฤตเมธ สายทองแก้ว
สุมนรตรี นิ่มเนติพันธ์

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ ระดับเจตคติ และรูปแบบพฤติกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจัง (Serious Leisure) และศึกษาความสัมพันธ์ของการรับรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจัง ของนักเรียนโรงเรียนสารวิทยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักเรียนโรงเรียนสารวิทยา จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นจากนักเรียนทั้งหมด 2,994 คน เก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามและนำมาวิเคราะห์โดยค่าสถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติสหสัมพันธ์สเปียร์แมน


            ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนโรงเรียนสารวิทยาที่อยู่ในระดับชั้นต่างกันจะมีระดับการรับรู้การใช้เวลาว่างอย่างจริงจังต่างกันโดยมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับน้อยมาก โดยระดับของการรับรู้เกี่ยวกับการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังมากที่สุดมีแหล่งที่มาจากอินเทอร์เน็ต และน้อยที่สุดคือ วิทยุ ต่อมาในด้านของเจตคติพบว่า นักเรียนโรงเรียนสารวิทยาที่อยู่ในระดับชั้นต่างกันจะมีระดับเจตคติที่มีต่อการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังต่างกันโดยมีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับน้อย ต่อมาในด้านพฤติกรรม พบว่า นักเรียนโรงเรียนสารวิทยาที่อยู่ในระดับชั้นต่างกันจะมีระดับพฤติกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังต่างกันโดยมีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับน้อย ซึ่งจากรูปแบบการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังทั้งหมด 10 ด้าน ประกอบด้วย กีฬา, ท่องเที่ยว, อ่านหนังสือ, ศิลปะและงานฝีมือ, พัฒนาตนเอง, ดนตรี, ความบันเทิง, ปลูกต้นไม้, กิจกรรมเสริมสร้างรายได้ และ หมวดพัฒนาจิตใจ พบว่าพฤติกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ประเภทความบันเทิง (ดูหนัง, ฟังเพลง, ดูคลิปวิดีโอบันเทิง, เล่นเกมส์ ฯลฯ) รองลงมา คือ การใช้เวลาว่างอย่างจริงจัง ประเภทกีฬา (ออกกำลังกาย, เต้น, วิ่ง, กีฬาชนิดต่าง ๆ ฯลฯ) ส่วนด้านที่น้อยที่สุด คือ ประเภทปลูกต้นไม้ (ปลูกผัก, ทำสวน, ปลูกต้นไม้, ปลูกป่า) และ
ในความสัมพันธ์ของทั้งด้านการับรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจัง พบว่า ทั้ง 3 ด้าน มีความสัมพันธ์กันในทางบวก โดยที่ การรับรู้และเจตคติ มีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง การรับรู้และพฤติกรรมมีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง และเจตคติและพฤติกรรม มีความสัมพันธ์กันในระดับมาก


            ผลจากการวิจัยในครั้งนี้สามารถนำไปปรับใช้ได้ โดยในระดับครอบครัว ผู้ปกครองสามารถสนับสนุนบุตรหลานตามความสนใจของนักเรียน เพื่อให้สามารถพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระดับโรงเรียนก็สามารถนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อการปรับปรุงหลักสูตร ในการจัดการเรียนในวิชาที่สนับสนุนความสนใจที่แตกต่างกันของนักเรียน เช่น วิชาชมรม รวมถึงการนำมาใช้ในนโยบายลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ได้อีกด้วย

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กัญณภัทร หุ่นสุวรรณ. (2562). เจตคติของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่มีต่อการศึกษาสายอาชีพ. วารสารการศึกษา, 13(2), 45–58.

ชไมพร สีมา. (2562). พฤติกรรมการมีวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย. วารสารพฤติกรรมศาสตร์, 25(1), 89–104.

ดาวิษา ศรีธัญรัตน์วนิดา, ทองธีระ, และ ธวัลพร มะรินทร์. (2565). การใช้เวลาว่างอย่างจริงจังกับการพัฒนาศักยภาพเยาวชน. วารสารสังคมศาสตร์, 34(2), 112–128.

นงนุช อุส่าพาณิชย์. (2559). การรับรู้ เจตคติ และพฤติกรรมผู้บริโภค. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลัย.

ปิยะนันท์ บุญณะโยไทย. (2556). จิตวิทยาสังคม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ศรีประภา ชัยสินธพ. (2558). พัฒนาการอัตลักษณ์ของวัยรุ่นไทย. วารสารจิตวิทยาพัฒนาการ, 7(1), 1–15.

อรุณีย์ โรจนไพบูลย์. (2561). พฤติกรรมมนุษย์และการพัฒนา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

อสงไขย ทยานศิลป์. (2560). ทัศนคติ การรับรู้ และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในโครงการความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของกลุ่มบริษัทเอกชน. วารสารบริหารธุรกิจ, 40(3), 77–94.

ไทยพีบีเอส. (2567). Thailand Digital Outlook 2024. กรุงเทพฯ: องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย.

Kono, S., Walker, G. J., & Ito, E. (2020). Serious leisure and well-being: The role of perceived leisure benefits. Leisure Studies, 39(2), 249–262.

https://doi.org/10.1080/02614367.2019.1694565.

Stebbins, R. A. (1984). Serious leisure: A conceptual statement. The Pacific Sociological

Review, 27(2), 251–272.

Yamane, T. (1973). Statistics: An introductory analysis (3rd ed.). New York, NY: Harper & Row.