ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม ตามหลักการดูแลสุขภาพ 3อ ของวัยรุ่นตอนต้นที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานในเขตกรุงเทพมหานคร
Main Article Content
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์ ดังนี้
- เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามหลักการดูแลสุขภาพ 3อ ของวัยรุ่นตอนต้นที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานในเขตกรุงเทพมหานคร
- เพื่อศึกษาระดับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม ตามหลักการดูแลสุขภาพ 3อ ของวัยรุ่นตอนต้นที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานในเขตกรุงเทพมหานคร จำแนกตามตัวแปรเพศ และอายุ
วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นตอนต้นอายุระหว่าง 12 - 14 ปี ทั้งเพศชายและ
เพศหญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาโดยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิโดยค่าดัชนีความสอดคล้องทั้งฉบับอยู่ที่ 0.85 และค่าความเที่ยง 0.79 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) เปรียบเทียบความแตกต่างโดยใช้ค่า "ที" (t-test) และค่า "เอฟ" (f-test) ในกรณีที่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงทำการทดสอบเป็นรายคู่โดยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe's Method) และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามหลักการดูแลสุขภาพ 3อ โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson's Correlation Coefficient)
ผลการวิจัย พบว่า
- ความรู้ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติตามหลักการดูแลสุขภาพ 3อ แต่ทัศนคติมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมตามหลักการดูแลสุขภาพ 3อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ 0.23 มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ
- วัยรุ่นตอนต้นที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานมีความรู้ตามหลักการดูแลสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง
มีทัศนคติตามหลักการดูแลสุขภาพ 3อ อยู่ในระดับสูงและมีพฤติกรรมตามหลักการดูแลสุขภาพ 3อ อยู่ในระดับปานกลาง
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ความคิด ข้อวิพากษ์ในวารสารเป้นสิทธิของผู้เขียน สมาคมสุขศึกษา พลศึกษา และสันทนาการแห่งประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเห็นชอบด้วยเสมอไป เพื่อให้เกิดความหลากหลายในความคิดและความสร้างสรรค์
เอกสารอ้างอิง
กองโภชนาการ กรมอนามัย. (2542). แนวทางการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ จากโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ : ด้านโภชนาการ. กรุงเทพฯ: ม.ป.พ.
จิราภรณ์ เรืองยิ่ง. (2559). พฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่นในจังหวัดสงขลา: การสังเคราะห์องค์ความรู้และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการบริโภค อาหาร (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: สาขาการวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ ประยุกต์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ทัศนา ศิริโชติ. (2557). รายงานการวิจัย ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา. สงขลา: คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา.
นริสรา พึ่งโพธิ์สภ. (2552). ภาวะโภชนาการเกินหรือภาวะอ้วน. วารสารประชากรศาสตร์,18(2), 69-87.
Lobstein, T., Jackson-Leach, R., Moodie, M.L., Hall, K. D., Gortmaker, S.L. and Swinburn, B. A. (2015). Child and adolescent obesity: part of a bigger 377 picture. Lancet, 385, 2510–2520.
ประคอง กรรณสูต. (2542). สถิติเพื่อการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พัชราภัณฑ์ ไชยสังข์, ปัญจภรณ์ ยะเกษม, และนุชจรีรัตน์ ชูทองรัตน์. (2557). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 -6 ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา, 20(1), 30-43.
วารินทร์ มากสวัสดิ์. (2558). ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถแห่งตนกับการมีกิจกรรมทางกายของวัยรุ่นตอนต้นที่มีภาวะน้ำหนักเกินในกรุงเทพมหานคร (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2551). สธ แนะยึด 3 อ. ช่วยลดพุง. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2560, จาก http://www.thaihealth.or.th/node/6108.
สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2557). คนไทยเป็นโรคอ้วนอันดับ 2 ของอาเซียน. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2560, จาก https://www.thaihealth.or.th/Content/24745-คนไทยเป็นโรคอ้วนอันดับ%202%20ของอาเซียน.html
สำนักงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทย. (2552). การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 4 พ.ศ.2551-2552. กรุงเทพฯ: ม.ป.พ.
Karnik S, Kanekar A. (2012). Childhood obesity: a global public health crisis. Int J Prev Med, 3(1): 1-7.
Mo-suwan. (2009). The Fourth National Healthexamination survey, 2008-2009. Report: Children’s health. In: Aekplakorn W, editor. Capter 8 Nutritional status of children. Nonthaburi. (in Thai)
Mo-suwan L. (2011). Obesity and abdominal obesity in children and adolescents. In: Nitiyanant W, editor. Obesity and abdominal obesity. Bangkok: Sukhumvit Media Marketing. p. 57-70. (in Thai)
Pulgaron ER. (2013). Childhood obesity: a review of increased risk for physical and psychological comorbidities. Clin Ther, 35(1), A18-32
World Health Organization. (2011). Obesity and overweight. Retrieved June 12, 2015. From http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs311/en/index.html