การตั้งคำถามของครูเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีปัญหาของตนเองในชั้นเรียนคณิตศาสตร์
คำสำคัญ:
การตั้งคำถาม, การมีปัญหาของตนเอง, ชั้นเรียนคณิตศาสตร์บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การตั้งคำถามของครูที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีปัญหาของตนเองในชั้นเรียนคณิตศาสตร์ ที่เน้นการวิเคราะห์โพรโทคอลและการวิเคราะห์เชิงพรรณนา ภายใต้กรอบแนวคิดการศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิด กลุ่มเป้าหมายคือนักเรียน จำนวน 37 คน และครูระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 1 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการหารด้วยเลขหนึ่งหลักจำนวน 7 แผน แบบบันทึกภาคสนาม เครื่องบันทึกวิดีทัศน์ เครื่องบันทึกภาพนิ่ง
ผลการวิจัยพบว่า คำถามทั้ง 4 ประเภท ประกอบด้วย 1) คำถามรวบรวมข้อมูลสารสนเทศ พบว่าเมื่อครูตั้งคำถาม นักเรียนพยายามตอบคำถามจากสำรวจสถานการณ์ปัญหา คำสั่งและสื่อเรื่อง และพบว่านักเรียนมีปัญหาของตนเองหลังจาก
มีการสงสัย ครุ่นคิดจากสถานการณ์ปัญหา 2) คำถามกระตุ้นให้เกิดการคิด พบว่าเมื่อครูตั้งคำถามกระตุ้นนักเรียน นักเรียนสามารถอธิบายและขยายความคิดเกี่ยวกับการหารของตนได้อย่างชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากได้เผชิญปัญหาด้วยตนเอง และนักเรียนมีปัญหาของตนเอง 3) คำถามที่ช่วยให้คณิตศาสตร์ชัดเจน พบว่าเมื่อครูตั้งคำถาม นักเรียนบอกโครงสร้างการหารได้ สามารถเชื่อมโยงแนวคิดกับหลักการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นการอธิบายให้เห็นได้ชัดเจน และ 4) คำถามที่ส่งเสริมการสะท้อนคิดและการให้เหตุผล พบว่า นักเรียนอธิบายเหตุผล โต้แย้งความถูกต้องของวิธีคิดของตนเอง และยืนยันแนวคิดของตนเองได้จากการตอบสนองต่อคำถาม
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2549). การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาด้วยยุทธวิธี
ปัญหาปลายเปิด. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2557). กระบวนการแก้ปัญหาในคณิตศาสตร์ระดับโรงเรียน. เพ็ญปริ้นติ้ง.
ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2561). นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์: การศึกษาชั้นเรียนร่วมกับวิธีการแบบเปิด.
ศูนย์วิจัยคณิตศาสตรศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2563). สถานการณ์ในการศึกษา ณ ปัจจุบัน และนวัตกรรมศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิด.
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2567). การตั้งคำถามที่ส่งเสริมการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในชั้นเรียน
ที่ใช้วิธีการแบบเปิด. KKU Research Journal (Graduate Studies) Humanities and Social Sciences,
(3), 1–12. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/gskkuhs/article/view/107863
ระพีพัฒน์ แก้วอ่ำ. (2559). การใช้คำถามปลายเปิดในการสอนคณิตศาสตร์. วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา
สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 8(15), 206–211. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/ article/view/55842
ศศิธร พงษ์โภคา และอุบลวรรณ ส่งเสริม. (2558). การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการแก้ปัญหาอนาคตร่วมกับแผนผังความคิด. Veridian E-Journal, 8(2), 1232–1236.
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Veridian-E-Journal/article/view/40311/33262
สัมพันธ์ ถิ่นเวียงทอง และไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2561). ความสามารถในการใช้การสื่อสารกลุ่มย่อยทางคณิตศาสตร์และเจตคติต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียนในชั้นเรียนที่ใช้การศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิด. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, 18(1), 97–107. https://so02.tci-thaijo.org/index.php/eduthu/article/view/145507
อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2546). หลักการสอน (ฉบับปรับปรุง) (พิมพ์ครั้งที่ 3). โอเดียนสโตร์.
Becker, J. P., & Shimada, S. (1997). The open-ended approach: A new proposal for teaching mathematics.
National Council of Teachers of Mathematics.
Brown, S. I., & Walter, M. I. (2005). The art of problem posing (3rd ed.). Lawrence Erlbaum Associates.
https://doi.org/10.4324/9781410611833
Cai, J., Moyer, J. C., Wang, N., & Nie, B. (2013). Problem posing: An opportunity for students’ mathematical
thinking and creativity. Educational Studies in Mathematics, 83(1), 1–7.
Drummond, M. J., Sayers, S., & Swann, J. (2013). Assessing children's learning. Routledge.
Inprasitha, M. (2010). One feature of adaptive lesson study in Thailand: Designing learning unit. Proceedings
of the 45th Korean National Meeting of Mathematics Education (pp. 193-206). Dongkook University.
Inprasitha, M. (2022). Lesson study and open approach development in Thailand: longitudinal study.
International Journal for Lesson and Learning Studies, 11(5), 1-15. https://doi.org/10.1108/IJLLS-
-2021-0029
Isoda, M. (2010). Mathematical thinking: How to develop it in the classroom. Meiji Tosho.
Isoda, M., & Katagiri, S. (2012). Mathematical Thinking: How to Develop it in the classroom. World Scientific
Publishing. https://www.worldscientific.com/worldscibooks/10.1142/8163#t=aboutBook
Kilpatrick, J. (1987). Formulating the problem: Where do good problems come from. In A. H. Schoenfeld (Ed.),
Cognitive Science and Mathematics Education (pp.123-147). Hillsdale, Lawrence Erlbaum Associates.
Mortimer, E. F., & Scott, P. H. (2003). Meaning making in secondary science classrooms. Open University Press.
National Council of Teachers of Mathematics. (2000). Principles and standards for school mathematics.
National Council of Teachers of Mathematics.
National Council of Teachers of Mathematics. (2014). Principles to actions: Ensuring mathematical success
for all. https://www.nctm.org/PtA/
Silver, E. A. (1994). On mathematical problem posing. For the Learning of Mathematics, 14(1), 19–28.
https://doi.org/10.2307/749366
Smith, M. S., & Stein, M. K. (2011). 5 practices for orchestrating productive mathematics discussions.
National Council of Teachers of Mathematics.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว