การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
คำสำคัญ:
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้, การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ, การคิดวิเคราะห์บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและความสามารถในการคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ 2) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE โดยมีขั้นตอนการวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและสอบถามความคิดเห็นและความต้องการของผู้เรียนด้านการอ่านภาษาอังกฤษและการคิดวิเคราะห์ ระยะที่ 2 การสร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE โดยศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและ และการคิดวิเคราะห์ สร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE ตรวจสอบความเหมาะสมโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 3 การสร้างและพัฒนาเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE คือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และแบบวัดความพึงพอใจ ระยะที่ 4 การศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE โดยทำการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนบัวขาว อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา จำนวน 40 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้หน่วยสุ่มเป็นห้องเรียน ซึ่งจัดชั้นเรียนแบบคละความสามารถ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วย t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE มี 6 องค์ประกอบ ดังนี้ (1) หลักการ แนวคิด ทฤษฎีพื้นฐาน (2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ (3) เนื้อหา (4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ (5) การวัดและประเมินผล และ (6) เงื่อนไขสำคัญในการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งกระบวนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Motivating: M) ขั้นที่ 2 เรียนรู้กระบวนการคิดวิเคราะห์ (Analyzing: A) ขั้นที่ 3 เรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together: L) ขั้นที่ 4 ประยุกต์ใช้กระบวนการคิด (Applying Thinking Process: A) ขั้นที่ 5 ประเมินผล (Evaluating: E) โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE ที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 85.05/84.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 2) การศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE พบว่า 2.1) นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2.2) นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE มีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2.3) นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE มี ความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ MALAE ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.72, S.D = 0.45)
References
กระทรวงศึกษาธิการ. (2555). แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ระดับมัธยมศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 2).
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.
กุลธิดา ท้วมสุข, ดารารัตน์ คำภูแสน, อังคณา ทองพูฆน พัฒนศร, กรวิภา พูลผล และอุทัยวรรณ ด่านวิวัฒน์. (2560). รายงานการวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบการสอนภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2546). การคิดเชิงวิเคราะห์. กรุงเทพฯ: ซัคเซสมีเดีย.
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2551). พัฒนาคุณธรรมผู้เรียนครบวงจร-เส้นทางที่ต้องก้าวเดิน. วารสาร วัฒนธรรมไทย, 47(6), 46-48.
จิรา ลังกา. (2558). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5: การวิจัยปฏิบัติการ. ดุษฎีนิพนธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา
หลักสูตรและการสอน. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ทิศนา แขมมณี. (2556). รูปแบบการเรียนการสอน: ทางเลือกที่หลากหลาย (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.
ทิศนา แขมมณี, เฉลิมชัย พันธ์เลิศ และภาษิต ประมวลชัยศิลป์. (2548). การจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบซิปปา CIPPA MODEL. กรุงเทพฯ: พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
ธูปทอง กว้างสวาสดิ์. (2554). การสอนการคิด. กรุงเทพฯ: ข้าวฟ่าง.
รพีพรรณ เชื้อจันอัด, นพคุณ ภักดีณรงค์ และนฤมล อเนกวิทย์. (2557). การพัฒนารูปแบบการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจตามทฤษฎีไวกอทสกี สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 21(2), 266-279.
ลัดดา หวังภาษิต. (2557). การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่เสริมสร้างความสุขในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา โรงเรียนสาธิตสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. ดุษฎีนิพนธ์ การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
วัชรา เล่าเรียนดี. (2555). รูปแบบและกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด (พิมพ์ครั้งที่ 9). นครปฐม:
มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วิภาดา พูลศักดิ์วรสาร. (2555). การพัฒนารูปแบบการสอนอ่านเน้นภาระงานโดยใช้กลวิธีอภิปัญญาสำหรับผู้ใหญ่
เพื่อส่งเสริมความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ. ดุษฎีนิพนธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วิสาข์ จัติวัตร์. (2543). การสอนอ่านภาษาอังกฤษ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สถาบันภาษาอังกฤษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (ม.ป.ป.) คู่มือการจัดการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษแนวใหม่ ตามกรอบมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เป็นสากล ระดับชั้นมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ:
องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก.
สุทัศน์ สังคะพันธ์. (2559). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการสื่อสารในการฟัง และการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. ดุษฎีนิพนธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). สภาวะการศึกษาไทย ปี 2558/2559 ความจำเป็นของการแข่งขัน
และการกระจายอำนาจในระบบการศึกษาไทย. กรุงเทพฯ: 21 เซ็นจูรี่.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). สมรรถนะการศึกษาไทยในเวทีสากลปี 2559 (IMD 2016). กรุงเทพฯ: 21 เซ็นจูรี่.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560-2579) ฉบับสรุป. กรุงเทพฯ:
พริกหวานกราฟฟิค.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2561). สภาวะการศึกษาไทย ปี 2559/2560 แนวทางการปฏิรูปการศึกษาไทยเพื่อก้าวสู่ยุค Thailand 4.0. กรุงเทพฯ: สกสค.
อุษา มะหะหมัด. (2557). การพัฒนารูปแบบการสอนอ่านภาษาอังกฤษเน้นภาระงานเพื่อเสริมสร้างทักษะ การคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา. ดุษฎีนิพนธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
Cao, Y. (2011). Investigating situational willingness to communicate within second language classroom from ecological perspective. Fuel and Energy Abstracts, 39(4), 468-479.
Devine, T.G. (1986). Teaching Reading Comprehension. Boston: Allyn & Bacon.
Dick, W., Carey, L. and Carey, J.O. (2005). The systematic design of instruction (6th ed.) Boston: Allyn & Bacon.
Gunning, T. G. (1992). Creating Reading Instruction for All Children. Allyn & Bacon. Division of Simon & Schuster Inc.
Johnson, K. (1982). Five Principles in a ‘communicative’ exercise type in K. Johnson. Communicative Syllabus Design and Methodology. Oxford: Pergamon.
Joyce, B., Weil, M. and Calhoun, E. (2009). Models of Teaching (8th ed.). New York: Allyn & Bacon.
Kruse, K. (2007). Introduction to instructional design and the ADDIE Model [electronic version].
Retrieved August 10, 2015, From http://www.e-learningguru.com/articles/art1_1.htm
Marzano, R. J. and John S. K. (2007) .The new Taxonomy of educational objectives (2nd ed.). California: Corwin Press.
Nunan, D. (1989). Designing tasks for the communicative classroom. Glassgrow: Bell and Bain.
Obah, T.Y. (1983). Prior Knowledge and the Quest for New Knowledge: The Third World Dilemma. Journal of Reading, 27(11), 129-133.
Shin, H. and Graham, C. (2005). Indigenous critical traditions for TEFL? A historical comparative
perspective in the case of Korea. Critical Inquiry in Language Studies, 2(2), 95-112.
Willis, J. (2000). A framework for tasked-based learning. Oxford: Longman Handbook.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2022 มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว