เทคโนโลยีวัฒนธรรมฮีตคองเพื่อการปกครองที่เหมาะสมของวิถีชุมชน : กรณีศึกษา บ้านซ่งแย้ ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร
คำสำคัญ:
วัฒนธรรมฮีตคอง, ชาติพันธุ์ไท-ลาว, วิถีชุมชนบทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาเทคโนโลยีวัฒนธรรมฮีตคองเพื่อการปกครองที่เหมาะสมของวิถีชุมชนบ้านซ่งแย้ 2) เพื่อวิเคราะห์เทคโนโลยีวัฒนธรรมร่วมสำหรับการสร้างสันติสุขและการคงอยู่อย่างยั่งยืนของเทคโนโลยีวัฒนธรรมฮีตคองเป็นแนวทางร่วมทางศาสนาที่แตกต่างกัน 3) เพื่อนำเสนอเป็นชุมชนต้นแบบของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แม้คนในชุมชนนับถือศาสนาแตกต่างกัน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแนวชาติพันธุ์วรรณนา แบบกรณีศึกษาทำการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก จากชาวบ้าน หมู่ที่ 2 บ้านซ่งแย้ ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร ผลการวิจัยพบว่า
1) ชุมชนบ้านซ่งแย้ จังหวัดยโสธร มีความต่างกันทางศาสนาทั้งศาสนาผี ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ ให้คุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีฮีตคอง ผ่านความรักความสามัคคี ความปรองดองและความอบอุ่นในครอบครัว สร้างความเป็นระเบียบในชุมชน
และสามารถอยู่ร่วมกันโดยมีศาสนาที่ต่างกัน เชื่อว่าหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาและศาสนาคริสต์ ที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษและปรับเปลี่ยนฐานคิดแนวปฏิบัติให้มีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของวิถีชุมชน เทคโนโลยี วัฒนธรรมฮีตคองเพื่อการปกครองที่เหมาะสมของผู้นำ ในการรับเอาวัฒนธรรมฮีตคองเข้ามาเผยแพร่ตามยุคสมัยในชุมชน ที่มีทั้งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในการเปลี่ยนแปลงฮีตคอง และความรักความสามัคคี ปรองดองและการเคารพนับถือต่อผู้อาวุโส ลดน้อยลงไป การนำฮีตคองมาเป็นแนวทางของเทคโนโลยีวัฒนธรรมร่วม สำหรับการสร้างสันติสุขและการคงอยู่อย่างยั่งยืน 2) เทคโนโลยีวัฒนธรรม ฮีตคองเพื่อการปกครองที่เหมาะสมจึงควรใช้ยุทธศาสตร์ความรักความสามัคคีปรองดอง ในการช่วยกันอนุรักษ์ฟื้นฟูเทคโนโลยีวัฒนธรรมฮีตคอง และยุทธศาสตร์ของเทคโนโลยีวัฒนธรรมร่วมของการอยู่ร่วมกัน
แม้จะต่างศาสนาเพื่อสร้างวิถีชุมชนให้เป็นชุมชนต้นแบบและเทคโนโลยีวัฒนธรรม ฮีตคองเพื่อการปกครองที่เหมาะสม
สำหรับการสร้างสันติสุขและการคงอยู่อย่างยั่งยืน ของเทคโนโลยีวัฒนธรรมฮีตคองของศาสนาที่ต่างกันในชุมชนและประเทศชาติต่อไป 3) รูปแบบชุมชนต้นแบบหรือนวัตกรรมแนวทางร่วมทางศาสนาที่แตกต่างกันในศาสนาพุทธ คริสต์ โดยการอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความดี การรู้จักให้อภัย และความกตัญญูกตเวทีต่อเพื่อนมนุษย์อันเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
จักษ์ พันธ์ชูเพชร. (2551). การเมืองการปกครองไทย : จากยุคสุโขทัยสู่สมัยทักษิณ (พิมพ์ครั้งที่ 6). ปทุมธานี: มายด์พับลิชชิ่ง.
จารุบุตร เรืองสุวรรณ. (2521). ขนบธรรมเนียมประเพณีระบอบการปกครองของชาวอีสานสมัยเก่า. มหาสารคาม:
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
จีระเดช ดิสกะประกาย. (2553). ตนสุวรรณภูมิ. กรุงเทพฯ: เอเอสทีวีผู้จัดการ.
ปริญ รสจันทร์. (2559). การสร้างความปรองดองระหว่างสยามและท้องถิ่นหลังความขัดแย้งกรณีกบฏผู้มีบุญอีสาน
พุทธศักราช 2444-2455. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, 10(2), 181-190.
ยุวดี หัสดี. (2563). การพัฒนาการมีส่วนร่วมตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในการจัดการท่องเที่ยว ถนนสายวัฒนธรรม ชุมชนหมื่นสาร จังหวัดเชียงใหม่. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, 14(2), 24-34.
วิโรจน์ สุวรรณคีรี. (2561). เทคโนโลยีวัฒนธรรมการปกครองเพื่อสันติสุขที่สัมพันธ์กับข้อขะลำของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวแง้ว ในราชอาณาจักรไทยและในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. ดุษฎีนิพนธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค (เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน). สุรินทร์: มหาวิทยาลัย
ราชภัฏสุรินทร์.
สุวิทย์ ธีรศาศวัต. (2549). กบฏผู้มีบุญอีสาน 2444-45 กับจดหมายลูกโซ่ฉบับแรกของเมืองไทย. ศิลปวัฒนธรรม, 28(1), 82-95.
โสภี อุ่นทะยา. (2551). การให้ความหมายและกลไกการสร้างความสัมพันธ์บนพื้นที่พรมแดนไทย-ลาว จังหวัดมุกดาหาร-แขวงสะหวันนะเขต. วารสารวิชาการ วิถีสังคมมนุษย์, 1(พิเศษ เดือนมกราคม- มิถุนายน 2556), 73-89.
อำนาจ พรหมกัลป์. (2560). กฎหมายโบราณอีสานในสยาม: การปกครองท้องถิ่นสาเกตุนคร พ.ศ. 2397- 2414.
วารสารวิชาการ ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ, 10(1), 647-655.
อัจฉรา ภาณุรัตน์. (2555). เศรษฐกิจและนิเวศวิทยาสิ่งแวดล้อม: ขาดทุนคือกำไร. สุรินทร์: มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว