การพัฒนาโปรแกรมพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบใช้เกมสำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2

ผู้แต่ง

  • วิชัย ประมูลจักโก นักศึกษาหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและพัฒนาการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  • เผชิญ กิจระการ รองศาสตราจารย์ ดร. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

คำสำคัญ:

โปรแกรมพัฒนาครู, การจัดการเรียนรู้พลศึกษา, เกมพลศึกษา

บทคัดย่อ

การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวชี้วัดการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบใช้เกม 2) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์การจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบใช้เกม 3) ศึกษาวิธีการพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้พลศึกษา แบบใช้เกม 4) พัฒนาโปรแกรมพัฒนาครู การวิจัยแบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวชี้วัด โดยใช้แบบประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบและตัวชี้วัด ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน 2) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ โดยใช้แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน (ค่าอำนาจจำแนก 0.414-0.894 และค่าความเชื่อมั่น 0.977) และแบบสอบถามสภาพ ที่พึงประสงค์ (ค่าอำนาจจำแนก 0.312-0.834 และค่าความเชื่อมั่น 0.968) กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนวิชาพลศึกษา จำนวน 230 คน 3) ศึกษาวิธีการพัฒนาครู โดยใช้แบบสัมภาษณ์ ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้บริหารและครู จำนวน 9 คน และ 4) พัฒนาโปรแกรม ใช้แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรม ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบและตัวชี้วัด การจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบใช้เกม ประกอบด้วย 12 องค์ประกอบ 45 ตัวชี้วัด มีสภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และมีสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก วิธีการพัฒนาครูซึ่งนำมาประยุกต์ใช้ในโปรแกรม ได้แก่ อบรมให้ความรู้ ฝึกการปฏิบัติ ทดลองนำไปใช้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนิเทศการจัดการเรียนรู้ ผลการพัฒนาโปรแกรม องค์ประกอบของโปรแกรมประกอบด้วย บริบทของโปรแกรม ได้แก่ ชื่อโปรแกรม กลุ่มเป้าหมาย ระยะเวลาที่ใช้ทั้งหมด ความมุ่งหมายของโปรแกรม แผน/กิจกรรม และวิธีดำเนินโปรแกรม สื่อที่ใช้ในการจัดกิจกรรม ผลการประเมินโปรแกรมพบว่า โดยรวมมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). คู่มือการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคล. กรุงเทพฯ: องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.

จิราภรณ์ ศิริทวี. (2542). การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ: คอมแพคท์พริ๊นท์.

ชัชวาล รัตนพร. (2556). โปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะการเป็นวิทยากรนันทนาการของนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. ดุษฎีนิพนธ์ การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและพัฒนาการศึกษา. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

ทองคูณ หงศ์พันธุ์. (2542). สอนดีต้องมีหลัก. กรุงเทพฯ: แสงสว่างการพิมพ์.

ธนานันต์ ดียิ่ง. (2556). โปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานด้านการวัดและประเมินผลในชั้นเรียน. ดุษฎีนิพนธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร.

วณิช นิรันตรานนท์. (2552). รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาที่มีประสิทธิผลสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กในเขตบริการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 1. วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

วรศักดิ์ เพียรชอบ. (2548). หลักการพลศึกษา. กรุงเทพฯ: ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ.

ศรีวัย ศรีมณี. (2556). เกมและเกมนำ. กรุงเทพฯ: อาร์ ที พี พริ้นติ้ง.

สกาวรัตน์ นิลเพชร์พลอย. (2554). พฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู การศึกษาสภาพปัญหาการพัฒนาบุคลากรของโรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองในจังหวัดราชบุรี. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. ราชบุรี: มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง.

สกุล โสรัจจ์. (2539). เกม. มหาสารคาม: วิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดมหาสารคาม.

สุวพร แสงรักษา. (2560). สภาพและปัญหาการสอนพลศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2560, จาก www.researchgate.net

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2552). ทศวรรษที่สองของการปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ.

Valantine, I. M., Dejan & Sporis, G. (2017). Effects of invasion games on physical fitness in primary school children. EQOL Journal, 9(1), 15-22.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2019-04-29

รูปแบบการอ้างอิง

ประมูลจักโก ว., & กิจระการ เ. (2019). การพัฒนาโปรแกรมพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบใช้เกมสำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, 13(1), 121–137. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/reru/article/view/186027

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย