การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้การจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
คำสำคัญ:
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, คาศัพท์ภาษาอังกฤษ, เทคนิค STAD, การเรียนแบบร่วมมือบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้การจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการเรียนรู้
แบบร่วมมือเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อหาดัชนีประสิทธิผล
ของกิจกรรมการเรียนรู้ 3) เพื่อศึกษาความคงทนในการจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้วิธีการ
เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียน
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาสในตาบลเมืองหงส์ ได้แก่ โรงเรียนบ้านไม้ล่าว (คุรุราษฎร์พัฒนา) สานักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ดเขต 1 จานวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD จานวน 16 แผน 2) แบบทดสอบย่อย แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 10 ข้อ
จานวน 9 ฉบับ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ
4 ตัวเลือก จานวน 40 ข้อ มีค่าอานาจจาแนกรายข้อตั้งแต่ 0.26-0.79 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.8379 และ 4) แบบวัดระดับ
ความพึงพอใจกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคอร์ท
(Likert) จานวน 17 ข้อ มีค่าอานาจจาแนก 0.286-0.6252 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.8715 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานใช้ Dependent Samples t–test ผลการวิจัยปรากฏดังนี้
1. กิจกรรมการเรียนรู้การจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 81.92/80.45
2. ดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้การจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 0.5590
3. นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้การจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนและคะแนนความคงทนไม่แตกต่างกัน
4. นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้การจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม โดยรวมอยู่ในระดับมาก
เอกสารอ้างอิง
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (สาขาหลักสูตรและการสอน). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม .
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุม
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด.
จุฑารัตน์ สุจินพรม. (2546). การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องกระบวนการในการดารงชีวิตของพืชกลุ่ม สาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือที่ประสบความสาเร็จเป็นทีม (STAD).
การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. (หลักสูตรและการสอน) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม .
ฐาปนี สิงห์นันท์. (2557). การพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือ
เทคนิค STAD และแผนที่ความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (สาขาหลักสูตรและการสอน)
มหาสารคาม: บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
บุณยภัทร สมเพชร. (2553). ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการอ่าน
จับใจความสาคัญ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านวังผา สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 2.
ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม. เชียงราย: มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย.
โรงเรียนบ้านไม้ล่าว (คุรุราษฎร์พัฒนา). (2557). รายงานผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปีการศึกษา 2557. ร้อยเอ็ด: ฝ่ายวิชาการ
โรงเรียนบ้านไม้ล่าว .
วงเดือน ปอศิริ. (2546). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอน
โดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้. วิทยานิพนธ์ ศษ.ม. (การประถมศึกษา) ขอนแก่น: บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
Robert E Slavin. (1990). Cooperative Learning. Review of Educational Research. 50(2) : 319–320 ; Summer
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว