การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้รายการโทรทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
คำสำคัญ:
การเรียนรู้, ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ, รายการโทรทัศน์บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ
โดยใช้รายการโทรทัศน์ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนา
ทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้รายการโทรทัศน์ 3) เปรียบเทียบทักษะฟังภาษาอังกฤษระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน
และ 4) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรายการโทรทัศน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ที่กาลังศึกษาอยู่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนฟ้าแดดสูงยางวิทยาคาร อาเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 24 จานวน 28 คนได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling)
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้รายการโทรทัศน์ จานวน 8 แผน
แบบทดสอบทักษะการฟัง จานวน 30 ข้อมีค่าความยาก (p) ตั้งแต่ 0.34–0.67 มีค่าอานาจจาแนกรายข้อ (B) ตั้งแต่ 0.33-0.72
และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.81 และแบบวัดความคิดเห็นที่มีต่อการเรียนด้วยรายการโทรทัศน์ มีค่าอานาจจาแนก
ตั้งแต่ 0.33–0.79 และความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.86 สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติ
ทดสอบ t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า
1. แผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยใช้รายการโทรทัศน์มีประสิทธิภาพเท่ากับ
76.43/75.36 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กาหนด 70/70
2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยใช้รายการโทรทัศน์
มีค่าเท่ากับ 0.6042 หมายความว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ ด้านการฟังเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 60.42
3. นักเรียนมีคะแนนทดสอบทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยใช้รายการโทรทัศน์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความคิดเห็นต่อการเรียนด้วยรายการโทรทัศน์ โดยรวมและเป็นรายข้อ อยู่ในระดับ
เห็นด้วย มีค่าเฉลี่ย 4.35 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า การเรียนรู้ด้วยรายการโทรทัศน์ มีความหลากหลายของรายการโทรทัศน์
ทาให้เกิดทักษะการฟัง และการเรียนรู้ผ่านรายการโทรทัศน์ทาให้การเรียนภาษาอังกฤษมีความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
เอกสารอ้างอิง
ธราบุญ คูจินดา. (2550). ประโยชนและวิธีใช้เทคโนโลยีกับการเรียนการสอน. หนองคาย: สารสองฝั่งโขง.
นิภาวรรณ ชูรัตนสิทธิ์. (2535). “การไปอบรมเรื่องการใช้ Authentic Materials,” ภาษาปริทัศน์. 13(02) : 49; สิงหาคม,
2535.
บุญชม ศรีสะอาด และคณะ. (2553). พื้นฐานการวิจัยการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
ประสิทธิ์ เครือแตง. (2553). ผลการใช้สื่อภาพยนตร์เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.
การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
วรวิทย์ นิเทศศิลป์. (2551). สื่อและนวัตกรรมการเรียนรู้. ปทุมธานี: สกายบุ๊กส์.
วิภา อุดมฉันท์. (2544). การผลิตสื่อโทรทัศน์และวีดิทัศน์. กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วิภา อิโน. (2551). การใช้สื่อภาพยนตร์เพื่อกระตุ้นแรงจูงใจในการเรียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.
การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สุวิวัชรา มาตรโพธิ์. (2554). การพัฒนาทักษะการฟังและการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้เพลงคาราโอเกะ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
อัจจิมา ลีรัตนชัย. (2542). รูปแบบการนาเสนอและความอยู่รอดทางธุรกิจของรายการภาษาอังกฤษทางโทรทัศน์.
วิทยานิพนธ์ นศ.ม. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Cambre. (1995). “Instructional Technology,”Television as Master Teacher. 1995.
Liu, Hon-Min. (2005). “Student and Teacher Attitudes Toward the use of Television in Learning and
Teaching English as a Foreign/second Language in a College in Taiwan,” Dissertation Abstracts
International. 65(08) : 2870-A ; February, 2005.
Moeller. (1996). Center for Children and Technology : Learning from Television Research.
Retrieved September 10, 2016 from http://cct.edc.org.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว