การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครู สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 20
คำสำคัญ:
ภาวะผู้นำสร้างสรรค์ของครู, โปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครู, การพัฒนาโปรแกรมบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครู สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 20 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู และผู้บริหาร จำนวน 341 คน ใช้เทคนิคการสุ่ม แบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมิน และ แบบสอบถามแบบมาตราส่วน 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าดัชนีความสอดคล้อง ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟาของครอนบาค และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น PNI modified ผลการวิจัยพบว่า
1. องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครู มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) มีวิสัยทัศน์ 2) เป็นบุคคล แห่งการเปลี่ยนแปลง 3) เข้าใจความเป็นปัจเฉกบุคคล 4) มีจินตนาการ และ 5) มีความยืดหยุ่น
2. สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครูโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.75 ) สภาพที่พึงประสงค์ ของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครู โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (
= 4.53 ) วิธีการเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ของครู ได้แก่ 1) การฝึกอบรม 2) การศึกษาดูงาน และ 3) การประชุมเชิงปฏิบัติการ
3. โปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครู สำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 20 ใช้วิธีการเสริมสร้างด้วยการ จัดฝึกอบรม การศึกษาดูงาน และการประชุมเชิงปฏิบัติการ โดยโปรแกรม มีเนื้อหาดังนี้ Module ที่ 1 มีวิสัยทัศน์ (Vision) Module ที่ 2 เป็นบุคคลแห่งการเปลี่ยนแปลง (Person of Change) Module ที่ 3 เข้าใจความเป็นปัจเฉกบุคคล (Individual Differences) Module ที่ 4 มีจินตนาการ (Imagination) และ Module ที่ 5 มีความยืดหยุ่น (Flexibility) ระยะเวลาเข้ารับการพัฒนา จำนวน 45 ชั่วโมง โดยผู้ทรงคุณวุฒิ ประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับ มากที่สุด ( = 4.74 ) และมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับ มากที่สุด (
= 4.78 )
เอกสารอ้างอิง
ธีรยุทธ์ หล่อเลิศรัตน์. (2544). องค์การบริหารพิเศษ (Executive Agency) และองค์การมหาชน (Autonomous Public Organization). วารสารข้าราชการ, 4(4), 23.
ธีรศักดิ์ อัครบวร. (2541). ความเป็นครู (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ บริษัท ก. พล (1996) จำกัด.
นิตย์ สัมมาพันธ์. (2546). ภาวะผู้นำ : พลังขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นเลิศ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น.
บุญชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
ประวัติ พื้นผาสุก. (2549). เอกสารประกอบการสอน วิชาความเป็นครู. เชียงใหม่: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่.
ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2549). การศึกษาไทยในยุคปัจจุบัน. รายงานการสัมมนาการศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัตน์. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วิจิตร อาวะกุล. (2537). การฝึกอบรม. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมชาย หิรัญกิตติ. (2542). การบริหารทรัพยากรมนุษย์ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: ธีระฟิล์มและไซเท็กซ์.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2557). หลักสูตรฝึกอบรมเทคนิคการวัดและประเมินผลระดับชั้นเรียน (Classroom Assessment). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20. (2558). รายงานผลการดำเนินงานสำนักงานเขตพื้นการศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 ประจำปีงบประมาณ 2558. จังหวัดอุดรธานี.
สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ. (2551). พัฒนาทักษะการคิด พิชิตการสอน (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.
สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์. (2548). ภาวะผู้นำ (พิมพ์ครั้งที่ 2). เชียงราย: มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย.
เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์. (2536). “ภาวะผู้นำ” ชุดวิชาทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา. นนทบุรี: สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
Chester L. Barnard. (1976). The Functions of the Executive 27th ed. Cambridge, Massachusetts : Harvard University.
Guilford, J.P. (1980). Intelligence Education is Intelligent Education. Tokyo: International Society for Intelligence Education.
Neuman, A & Simon, K. (2000). Leadership for student learning : KPI. s.n. : Delta Kappan.
Pellicer, L. O. & Anderson, L. P. (1995). A handbook for teacher leader. Thousand Oaks, CA: Corwin Press.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว