A Meta Analysis of Research on English Listening Skills
Keywords:
Effect size, English listening skills, Meta-analysis of researchAbstract
This study aimed to 1) investigate characteristics of research on listening skills 2) examine effect size of research studies on listening skills and 3) compare characteristics of research on listening skills on effect size. Population of the study were 45 research papers on English listening skills in Thailand during 2010-2020. Meta-analysis of Hedges was used for effect size estimation. Research instruments were research characteristic form and research paper evaluation form. The result showed that most of the studies on English listening skill were master thesis (80 percent), the major of conducted research was mainly curriculum and instruction major (64 percent), followed by English major (28 percent). Comparison of effect size of 28 independent variables on dependent variable which was effect size of research studies on listening skills using one-way ANOVA found that 4 variables were statistically significant at 0.05 including level of sample variable, sampling method variable, research design variable, and classroom innovation variable.
References
เกริก เจษฎานุวัฒน์. (2555). การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาพยาบาล. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษานานาชาติ. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ชไมพร ชาญวิจิตร. (2560). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง English in Daily Life ตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (CLT) ที่มีผลต่อความสามารถด้านการฟัง การพูดและความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ทัศนีย์ กันทะใจ. (2556). ผลการใช้กิจกรรมการเล่าเรื่อง ระหว่างเทคนิคการแสดงบทบาทสมมติตามเรื่องและเทคนิคการแสดงตามเรื่องด้วยหุ่นเชิด ที่มีต่อทักษะการฟัง การพูดภาษาอังกฤษ และความมั่นใจในตนเองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
นุชิต นิลวรางกูล. (2558). การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้กิจกรรม เกมส์การแข่งขันกลุ่ม (TGT) ผสมกับกิจกรรมการเว้นช่องว่าง (Information Gap). วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
นงลักษณ์ วิรัชชัย และสุวิมล ว่องวาณิช. (2545). การสังเคราะห์งานวิจัยทางการศึกษาด้วยการวิเคราะห์อภิมานและการวิเคราะห์เนื้อหา. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี.
ปุณยภา แสงศรี. (2554). ผลกระทบของรูปแบบการช่วยฟังและระดับความสามารถภาษาอังกฤษต่อความสามารถในการฟัง และกลวิธีการฟังของนักศึกษาไทยชั้นปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษานานาชาติ. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ฝนทิพย์ นัดทะยาย. (2558). การพัฒนากระบวนการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ประกอบการใช้สถานการณ์จําลอง เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ภัสสรา ภูรินันทกูล. (2553). การใช้สื่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ประกอบการสอน เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ. สารนิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
สุพัฒน์ สุกมลสันต์. (2553). ขนาดของผล: ความมีนัยสำคัญทางปฏิบัติในการวิจัย. วารสารภาษาปริทัศน์, 25(0), 26-38.
อัจฉริยาพร รมรัตน์. (2556). การพัฒนาความสามารถในการฟัง พูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางร่วมกับกิจกรรมแบบผสมผสาน. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
อรพิน ชูชม. (2552). การวิจัยกึ่งทดลอง. วารสารพฤติกรรมศาสตร์, 15(1), 1-15.
อภิวัฒน์ มานะดี, เสกสรรค์ ทองคำบรรจง และสมพงษ์ ปั้นหุ่น. (2558). ผลของความไม่สอดคล้องระหว่างการกำหนดขนาดตัวอย่าง วิธีการสุ่มตัวอย่าง และรูปแบบการวิเคราะห์เชิงสถิติ ที่มีต่อความถูกต้องและความแม่นยำของค่าประมาณพารามิเตอร์: กรณีศึกษา ความไม่แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัด. วารสารราชพฤกษ์, 13(2), 69-75.
Becker, A.L. (2000). Effect Size. Retrieved June 20, 2021, From http://web.uccs.edu/lbecker/Psy590/es.htm
Buck, G. (2001). Assessing listening. Cambridge: Cambridge University Press.
Carney, N. (2018). Diagnosing L2 English Learners’ Listening Comprehension Abilities with Scripted and Unscripted Listening Texts. Dissertation, Doctor of Philosophy of Teaching & Learning. Philadelphia: Temple University.
Glass, G.V. (1976). Primary Secondary and Meta–Analysis of Research. Education Research. 52(07), 117–125.
Hedges, L.V. (1981). Distribution theory for Glass's estimator of effect size and related estimators. Journal of Educational Statistics, 6(2), 107-128.
Lynch, T. (2012). Teaching Second Language Listening (10th ed.). Oxford: Oxford University Press.
Richard, J.C. (2015). Key Issues in Language Teaching. Cambridge: Cambridge University Press.
Rost, M. (2001). Listening. In R. Carter, & D. Nunan (Eds.) The Cambridge Guide to Teaching English to Speakers of Other Languages. Cambridge: Cambridge University Press.
Sangster, P. (2004). Learning to Listen, Listening to Learn. An Investigation into Listening Practices in Classrooms. Dissertation, Doctor of Philosophy of Education. Edinburgh: University of Edinburgh.
Vandergrift, L. and Goh, C. (2012). Teaching and learning second language listening: Metacognition in Action. United Kingdom: Taylor & Francis.
Vandergrift, L. (2004). Listening to Learn or Learning to Listen? In Cambridge University Press (Ed.). Annual Review of Applied Linguistics (2004). Cambridge: Cambridge University Press.
Wagner, E. (2010). The Effect of the Use of Video Texts on ESL Listening Test-taker Performance. Language testing, 27(4), 493-513.
Ward, J. (2018). Second Language Listening in an Academic Context: lexical, perceptual, and contextual clues to word recognition. Doctor of Philosophy of English language and Applied Linguistics. Reading: University of Reading.
Downloads
Published
How to Cite
Issue
Section
License
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว