The Development of the Mathematics Teaching Model by using Constructionist Theory to Enhance the Ability in Problem Solving on Set Entitled for Grade 10 Students
Keywords:
Mathematics teaching model, Constructionist theory, The ability in problem solvingAbstract
The purposes of this study were 1) to develop the mathematics teaching model by using constructionist theory to enhance the ability in problem solving on set entitled for grade 10 students, 2) to study the results of using the mathematics teaching model by using constructionist theory to enhance the ability
in problem solving on set entitled for grade 10 students, and 3) to study the students’ satisfaction to the mathematics teaching model by using constructionist theory to enhance the ability to solve the problem on set lesson for grade 10 students. The sample were 38 grade 10 student of room 4/5 at Buakhao school, Kuchinarai district, Kalasin province in semester 1 of 2019 academic year. The samples applied cluster random sampling. The tools in this study were 1) the mathematics teaching model, 2) the lesson plans,
3) the achievement test, 4) the test of problem solving and 5) the students’ satisfaction testing form.
The statistical analyses were percentage, mean, standard deviation, t-test (dependent sample),
and applied content analysis. The research results were as follows:
- The mathematics teaching model by using constructionist theory to enhance the ability
in problem solving on set entitled for grade 10 students that developed by the researcher was called “PCAPRE Model”. The 5 elements were consisted of principles, objectives, contents, the teaching processes, and the evaluation. There were 6 steps; 1) Preparation: (P), 2) Construction (C), 3) Action (A),
4) Presentation (P), 5) Reflection (R), and 6) Evaluation: (E). The evaluation of the appropriate model was at the highest level with the efficiency (E1 /E2) of 80.13/81.32 which was higher than setting criterion of 75/75. - The results experimentation aching model that developed by the researcher found that
2.1) grade 10 students had higher learning achievement than before learning at the .05 level of significance.
2.2) Grade 10 students had solve problems abilities higher than setting criterion 75 percent at the .05 level of significance. 2.3) The effectiveness index of the mathematics teaching model by using constructionist theory to enhance the ability in problem solving on set entitled for grade 10 students was 0.7197.
It revealed that the students had an advancement score of learning increased with 71.97 percent. - The students’ satisfaction to the mathematics teaching model by using constructionist theory to enhance the ability of problem solving on set entitled for grade 10 students in overall was highest level.
References
ทิศนา แขมมณี. (2554). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ทิศนา แขมมณี. (2550). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดการกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธีร์ธวัช ปิ่นทุมมา และกนิษฐา เชาว์วัฒนกุล (2560: 25-36). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. ศาสตร์การศึกษาและพัฒนามนุษย์, 1(1), 25-36.
นันทิยา บุญเคลือบ. (2540). มาตรฐานการศึกษาวิทยาศาสตร์. วารสาร สสวท, 25(99), 7-12.
บุญเชิด ภิญโญอนนัตพงษ.์ (2540). การทดสอบแบบอิงเกณฑ์: แนวคิดและวิธีการ. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
ประมวล อุทัยแสง. (2563). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, 14(2), 63-75.
ฝ่ายบริหารงานวิชาการ โรงเรียนบัวขาว. (2561). รายงานผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2560-2561. กาฬสินธุ์: โรงเรียนบัวขาว.
พัชรี ปิยภัณฑ์. (2555). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. ดุษฎีนิพนธ์ การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
วัชรา เล่าเรียนดี. (2554). รูปแบบและกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด (พิมพ์ครั้งที่ 7). นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วิลาวัณย์ บุตรพรม. (2556). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดขั้นสูงกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. ร้อยเอ็ด: โรงเรียนเทศบาลวัดป่าเรไร.
วิไลพร พงษ์พล. (2560). การพัฒนารูปแบบการสอนคณิตศาสตร์ ประกอบแบบฝึกทักษะ เรื่องเซต เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และจิตตนิสัยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. ศรีสะเกษ: โรงเรียนพรานวิบูลวิทยา.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2553). คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2550) รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถของเด็กในการอ่าน คิดวิเคราะห์ เขียน และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
สิริพร ทิพย์คง. (2556). การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
สุนีย์ เหมะประสิทธิ์. (2540). การทำวิจัยเชิงปฏิบัติการสำหรับผู้บริหารและครู. วารสารการวิจัยทางการศึกษา, 21(3), 37.
สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ. (2550). 19 วิธีการจัดการเรียนรู้: เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: ดวงกมลสมัย.
เสาวภา พรหมทา. (2559). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์ งานประดิษฐ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. ศรีสะเกษ: โรงเรียนไพรบึงวิทยาคม.
หทัยรัตน์ พงษ์พานิช. (2557). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
อัญชลี แก้ววิเศษ. (2559). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ ด้วยตนเอง โดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และทักษะอาชีพในการจัดการเรียนรู้ศตวรรษที่ 21 เรื่องงานประดิษฐ์จากผ้าลายไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาลจุ่งฮั่ว. พัทลุง: โรงเรียนเทศบาลจุ่งฮั่ว.
Bruner, J. S. (1976). Jerome Bruner and Process of Education. Retrieved February 17, 2019, from http://www.infed.org/thinkers/bruner.htm/
Dewey, J. (2007). How We Think. Retrieved December 1, 2018, from http://www.scribd.com/doc/7601735/Dewey-Pattern-Problem-solving-agenda/
Driver, R. H. and Bell, B. (1986). Students thinking and the learning of science: A constructivist view. The School Review, 67(240), 443-456.
George, J. M. and Jones, G. R. (2006). Understanding and mamaging: Organizational Behavior (2nd ed.). Massachusetts: Addison–Wesley.
Guilford, J. P. (1982). Fundamental Statistics in Psychology and Education (4th ed.). Tokyo: McGraw-Hill Kodakusha.
Kruse, Kevin. (2007). Instruction to instructional design and the ADDIE model. Retrieved June, 19, from http: www.e-learningguru.com/articles/art1_1.htm
Martin, R. E. (1994). Teaching Science for all Children. Boston: Allyn & Bacon.
Joyce, B. and Weil, M. (2000). Models of Teaching (6th ed.). Massachusetts: Allyn & Bacon.
Polya, G. (1957). On solving mathematical problems in high school. Reston. Virginia: NCTM.
Weir, J. J. (2005). Problem Solving is Everybody’s Problem. New York: Science Teacher.
Wilson, J. W. and Femandez, M. L. (1993). Mathematical Problem Solving. New York: Macmillan Publishing.
Yager, R. E. (1991). The constructivist learning model. The science teacher, 58(September), 52–57.
Downloads
Published
How to Cite
Issue
Section
License
Copyright (c) 2022 Roi Et Rajabhat University
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว