ความพึงพอใจของประชาชนต่อโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในเขตจังหวัดมหาสารคาม
คำสำคัญ:
ความพึงพอใจ, โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจ และเปรียบเทียบความพึงพอใจ จำแนกตาม อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อปี และศึกษาข้อเสนอแนะของประชาชนต่อโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในเขตจังหวัดมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ ประชาชนในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในเขตจังหวัด มหาสารคาม จำนวน 400 คน โดยใช้สูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามจำนวน 45 ข้อ แยกเป็นรายด้าน 5 ด้าน โดยมีค่าความเชื่อมั่นแบบสอบถาม เท่ากับ .95 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว F-test (One – Way ANOVA)
ผลการศึกษา พบว่า 1. ความพึงพอใจของประชาชนต่อโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในเขตจังหวัดมหาสารคาม โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย จำนวน 5 ด้าน คือ ด้านข้อมูลที่ได้รับจากการบริการ(X= 4.22; S.D. = 0.89) ด้านระยะเวลาในการดำเนินการ(X= 4.21; S.D. = 0.92) ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ(X= 4.19; S.D. = 0.92) ด้านความสะดวกที่ได้รับ (X= 4.11; S.D. = 0.92) และด้านคุณภาพของบริการที่ได้รับ(X= 4.07; S.D. = 0.88) 2. ผลเปรียบเทียบความพึงพอใจของประชาชนต่อโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในเขตจังหวัดมหาสารคาม จำแนกตามอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อปี พบว่า 2.1) ประชาชนที่มี อายุต่างกัน มีความพึงพอใจในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 คือ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ 2.2) ประชาชนที่มี ระดับการศึกษาต่างกัน มีความพึงพอใจในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่แตกต่างกัน 2.3) ประชาชนที่มี อาชีพต่างกัน มีความพึงพอใจในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คือ ด้านคุณภาพของบริการที่ได้รับ ด้านระยะเวลาในการดำเนินการ และด้านข้อมูลที่ได้รับจากการบริการ 2.4) ประชาชนที่มี รายได้เฉลี่ยต่อปีต่างกัน ส่งผลต่อ ความพึงพอใจในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะของประชาชนต่อโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในเขตจังหวัดมหาสารคาม คือ รัฐบาลควรมีการปรับปรุงการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้รู้ถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ตลอดทั้งวิธีการใช้บัตรเพื่อซื้อสินค้าหรือรับการบริการด้านต่างๆ และควรมีการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่โครงการให้มากขึ้น เพื่อปรับปรุงการบริการให้ดีขึ้น ให้เจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบประชาชนที่ไม่ได้รับสิทธิ์สวัสดิการแห่งรัฐ คนที่ไม่มีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสาร สามารถเข้าถึงการบริการได้ง่ายขึ้น และเพิ่มหน่วยบริการใกล้บ้าน เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง
References
Office of the Inspector General, Office of the Prime Minister. (2016). Report on the monitoring of the Civil State Welfare Project Providing assistance through the state welfare card. [Online]. http://www.pmi.opm.go.th:8081/inspect_main/uploadfiles/ [5 April 2021]
Office of the National Economic and Social Development Council. (2016). The influence of social norms as a tool to control consumption behavior in the context of populist policy. Economics and Public Policy Journal, 8 (15), 53-75.
Office of the Spokesperson, Secretariat of the Prime Minister. (2018). Innovative State Welfare Measures to Solve Poverty. [Online]. https://www.thaigov.go.th/ebook/contents/detail/121#book/ [2 April 2021]
Siam Internet Technology Research Office. (2018). State welfare card. Journal of Communication Arts, 36(2), 52-65.
Tanthai, M. (1992). Service behavior of drug control officers, Office of the Board of Directors food and medicine to the people who come in contact. Bangkok: Thammasat University.
Vanitsuppavong, P. (2003). Educational Research Methodology Teaching Documents. (4thed). Pattani: Office of Academic Services, Prince of Songkla University.
Wongrattana, C. (2007). Techniques for using statistics for research. (10thed). Nonthaburi: Thai Neramit.
Yamane, T. (1973). Statistics; An Introductory Analysis. New York: Harper & Row Publishers; Inc, 727.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2022 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์เป็นของผู้ประพันธ์บทความ