การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ เรื่อง พุทธประวัติ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

ผู้แต่ง

  • สุริฉาย สุดสาคร มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • ประภัสสร ฤทธิสุทธิ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • อัจฉริยา พรมท้าว มหาวิทยาลัยขอนแก่น

คำสำคัญ:

การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์, ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, ทักษะการสื่อสาร, ความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้

บทคัดย่อ

          การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ (1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ เรื่อง พุทธประวัติ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นป.3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ (3) เพื่อศึกษาทักษะการสื่อสาร ของนักเรียนชั้นป.3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ และ (4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นป.3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นป.3 โรงเรียนบ้านหนองจิก จำนวน 25 คน ได้มาโดยการเลือกแบบสุ่ม (Cluster Sampling) ดังนี้ (1) แบ่งกลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ออกเป็น 4 กลุ่มตามโรงเรียน (2) สุ่มโรงเรียนมา 1 โรงเรียน ด้วยวิธีการจับสลาก พบว่าได้ นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองจิก แล้วใช้นักเรียนทุกคนเป็นกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือประกอบด้วย (1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน (2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ (3) แบบประเมินทักษะการสื่อสาร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า (Wilcoxon-signed rank test). ผลการวิจัยพบว่า (1) ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 80.20/85.20 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นป.3 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 (3) คะแนนทักษะการสื่อสารของนักเรียนชั้นป.3 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ โดยอยู่ในระดับดี( = 9.71, S.D. =1.09) (4) ความพึงพอใจต่อการกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ โดยอยู่ในระดับมาก ( = 2.73, S.D. =0.44)

เอกสารอ้างอิง

Anantavorasakul, A. (2001). “The organization of environmental education activities with the form of activities”. Bangkok: Chulalongkorn University.

Bell, S. and Harkness, S. (2004). The Storyline Approach. Workshop in Thailand : 11-12 December.

Khotthong, K. (2014). Development of an English reading skill reinforcement form from ASEAN fairy tales by using learning activities for grade 6 at Ban Pao School, Chaiyaphum Province. Bangkok: Silpakorn University.

Lokanuwatsathien, W. & Prasansaph, W. (2018). Achievement in learning with basic Chinese communication using a storyline teaching model for students in grade 4 at Kulabwittaya School. Graduate School Conference Vol 2, No 1 (2018)

Tongkoonwong, S. & Jongkonklang, S. (2019). A Study of English Listening and Speaking Skills of Fifth Graders by Using the Storyline Method. Kasetsart educational review Vol. 34 No. 1 (2019)

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2022-04-25

รูปแบบการอ้างอิง

สุดสาคร ส., ฤทธิสุทธิ์ ป. ., & พรมท้าว อ. . (2022). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ เรื่อง พุทธประวัติ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 . Journal for Developing the Social and Community, 9(1), 403–416. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/rdirmu/article/view/253407

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย