การบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตร

ผู้แต่ง

  • พระมหาวิโรจน์ วิโรจโน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
  • พระอุดมสิทธินายก กำพล คุณงฺกโร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
  • พระมหาสุนันท์ สุนนฺโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

คำสำคัญ:

การบริหารการจัดการ, ศาสนศึกษา, พระสังฆาธิการ

บทคัดย่อ

บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตร  2) เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของพระสงฆ์ต่อการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตร โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตร

ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างงานวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่พระสงฆ์ในจังหวัดพิจิตร จำนวน 361 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับอยู่ที่ 0.974 เป็นทั้งคำถามปลายเปิดและปลายปิด  โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ในการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่า t-test และ F-testและงานวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา

ผลการวิจัยพบว่า

1)พระสงฆ์มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตรในภาพรวมอยู่ในระดับมาก(  = 4.07, S.D. = 0.587)  และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน คือ ด้านการวัดและการประเมินผล มากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (  = 4.12, S.D. = 0.367)รองลงมา ได้แก่ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย ( = 4.11, S.D. = 0.603)และด้านหลักสูตรมีค่าเฉลี่ย ( = 4.09, S.D. = 0.620) และน้อยที่สุด ด้านการจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย ( = 3.99, S.D. = 0.654)  ตามลำดับ

2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของพระสงฆ์ที่มีต่อการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตรโดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล คือ อายุ พรรษา
วุฒิการศึกษานักธรรม วุฒิการศึกษาเปรียญธรรม วุฒิการศึกษาสามัญพบว่าพระสงฆ์ที่มี อายุ พรรษา วุฒิการศึกษานักธรรม วุฒิการศึกษาเปรียญธรรม วุฒิการศึกษาสามัญ  มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตร  แตกต่างกันทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 จึงยอมรับตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

3) ปัญหา อุปสรรค ในการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการ ในจังหวัดพิจิตร พบว่า  1) เนื้อหาสาระ และภาษาที่ใช้ในหนังสือเป็นภาษาที่เข้าใจยากโดยเฉพาะเนื้อหาสาระในแผนกบาลีเน้นการจำและการแปลมากกว่าความเข้าใจ ขาดการประยุกต์ใช้ ไม่เหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน  2) การจัดเวลาเรียนยังไม่เป็นระบบ ไม่แน่นอน มีเวลาเรียนน้อยเกินไป จึงไม่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง 3) เน้นการท่องจำ และการแปล ไม่ค่อยมีการประยุกต์ใช้และขาดการคิดวิเคราะห์และขาดสื่อที่การเรียนการสอนที่ทันสมัย  ข้อเสนอแนะควรนำอิทธิบาท 4คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ, คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา 1) ควรให้มีการปรับปรุงหลักสูตร เนื้อหาให้น่าสนใจและง่ายขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนมีกำลังใจในการเรียนมากขึ้น และควรเน้นการท่องจำในส่วนที่ต้องใช้เฉพาะหรือที่สำคัญเพื่อนักเรียนเกิดความอยากเรียนมากขึ้นและไม่ท้อต่อการเรียน  2) ควรให้มีการวางแผนในการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อให้เหมาะกับยุคสมัย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และมีแผนปฏิบัติการประจำปี  3) ควรมีการประชุมวางแผนชี้แจงให้ครูผู้สอนเข้าใจในการนำหลักสูตรไปใช้ในการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจมากขึ้นคือง่ายไปหายาก

บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตร  2) เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของพระสงฆ์ต่อการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตร โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตร

ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างงานวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่พระสงฆ์ในจังหวัดพิจิตร จำนวน 361 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับอยู่ที่ 0.974 เป็นทั้งคำถามปลายเปิดและปลายปิด  โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ในการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่า t-test และ F-testและงานวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา

ผลการวิจัยพบว่า

1)พระสงฆ์มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตรในภาพรวมอยู่ในระดับมาก(  = 4.07, S.D. = 0.587)  และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน คือ ด้านการวัดและการประเมินผล มากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (  = 4.12, S.D. = 0.367)รองลงมา ได้แก่ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย ( = 4.11, S.D. = 0.603)และด้านหลักสูตรมีค่าเฉลี่ย ( = 4.09, S.D. = 0.620) และน้อยที่สุด ด้านการจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย ( = 3.99, S.D. = 0.654)  ตามลำดับ

2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของพระสงฆ์ที่มีต่อการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตรโดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล คือ อายุ พรรษา
วุฒิการศึกษานักธรรม วุฒิการศึกษาเปรียญธรรม วุฒิการศึกษาสามัญพบว่าพระสงฆ์ที่มี อายุ พรรษา วุฒิการศึกษานักธรรม วุฒิการศึกษาเปรียญธรรม วุฒิการศึกษาสามัญ  มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตร  แตกต่างกันทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 จึงยอมรับตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

3) ปัญหา อุปสรรค ในการบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการ ในจังหวัดพิจิตร พบว่า  1) เนื้อหาสาระ และภาษาที่ใช้ในหนังสือเป็นภาษาที่เข้าใจยากโดยเฉพาะเนื้อหาสาระในแผนกบาลีเน้นการจำและการแปลมากกว่าความเข้าใจ ขาดการประยุกต์ใช้ ไม่เหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน  2) การจัดเวลาเรียนยังไม่เป็นระบบ ไม่แน่นอน มีเวลาเรียนน้อยเกินไป จึงไม่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง 3) เน้นการท่องจำ และการแปล ไม่ค่อยมีการประยุกต์ใช้และขาดการคิดวิเคราะห์และขาดสื่อที่การเรียนการสอนที่ทันสมัย  ข้อเสนอแนะควรนำอิทธิบาท 4คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ, คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา 1) ควรให้มีการปรับปรุงหลักสูตร เนื้อหาให้น่าสนใจและง่ายขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนมีกำลังใจในการเรียนมากขึ้น และควรเน้นการท่องจำในส่วนที่ต้องใช้เฉพาะหรือที่สำคัญเพื่อนักเรียนเกิดความอยากเรียนมากขึ้นและไม่ท้อต่อการเรียน  2) ควรให้มีการวางแผนในการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อให้เหมาะกับยุคสมัย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และมีแผนปฏิบัติการประจำปี  3) ควรมีการประชุมวางแผนชี้แจงให้ครูผู้สอนเข้าใจในการนำหลักสูตรไปใช้ในการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจมากขึ้นคือง่ายไปหายาก

References

Department of Religion, Ministry of Education. (2003). The history of Buddhism in Ratanakosin200 years. Bangkok: Author: Sathian.
Ministry of Education. (1998). The Development of Buddhist Pali Canonical Education. Bangkok: Department of Religious Affairs.
PhraMahaVajnavirudee (2004).Pali Education History of the Thai Buddhist Sangha in Siam.Bangkok: Printing Workshops.
PhraThepPariyatSuthi (VoravitCogakarm) (2002).The monks and the religious. Bangkok: Mahachulalongkornrajavidyalaya University Press.
Prayer for the palliative merit (Mahayana). (2016).The development of the Pali Canon Buddhist Ecclesiastical Management Efficiency in Monastic Discipline Region 14(Doctor of Thesis). Graduate School: Mahachulalongkornrajavidyalaya University
PhraMahaTheeraSukumarro (Panchai). (2014).Pali Canonical Study: Case Study WatPhraMahathat Bangkok YaiBangkok(Master of Thesis).Graduate School: Mahachulalongkornrajavidyalaya University
MahasarapongManun (2008).Factors Affecting Success in Prajadhipok School A case study of the Buddhist Scripture School, Bali Temple, Takiab district, TakProvince, NakhonSawan province (Master of Thesis).Graduate School: Phranakhon Si Ayutthaya Rajabhat University
PhramahaamnatPawatthano. (2014). The development of Buddhist education(Doctor of Thesic).Graduate School: Mahachulalongkornrajavidyalaya University.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2018-05-16

How to Cite

วิโรจโน พ. ., กำพล คุณงฺกโร พ., & สุนนฺโท พ. . (2018). การบริหารจัดการด้านศาสนศึกษาแผนกบาลีของพระสังฆาธิการในจังหวัดพิจิตร. วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์, 7(2-2), 184–194. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/245761