การเสริมสร้างทักษะบริหารจัดการชีวิตโดยใช้แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบ AFTER Model สำหรับเด็กปฐมวัยในโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์
The Executive Functions Enhancing by using the AFTER Model Lesson Plan for The Early Childhood Pupils in Buriram Province’s Private School
คำสำคัญ:
แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ AFTER Model, ทักษะบริหารจัดการชีวิต, ทักษะพื้นฐาน, ทักษะการกํากับตนเอง, ทักษะปฏิบัติการให้สําเร็จบทคัดย่อ
การวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ AFTER Model ในการเสริมสร้างทักษะบริหารจัดการชีวิต(Executive Functions) สำหรับเด็กปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามเกณฑ์ 85/85 2) เปรียบเทียบทักษะบริหารจัดการชีวิต (Executive Functions) ก่อนและหลังจากการใช้แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ AFTER Model สำหรับเด็กปฐมวัย โดยศึกษากลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ในเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 26 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ AFTER Model สำหรับเด็กปฐมวัย ที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.80-1.00 มีคุณภาพระดับมาก ใช้เวลา 15 สัปดาห์ๆ ละ 2 วันๆ ละ 2 ชั่วโมง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบประเมินทักษะทักษะบริหารจัดการชีวิต(EFS) ที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.90-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค = .77 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า
- แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ AFTER Model เพื่อเสริมสร้างทักษะบริหารจัดการชีวิต(Executive Functions) สำหรับเด็กปฐมวัย ประกอบด้วยขั้นตอนการจัดประสบการณ์ 5 ขั้น ได้แก่ 1) ขั้นสร้างความสนใจ(Attention) 2) ขั้นคาดการณ์ล่วงหน้า(Forethought) 3) ขั้นวางแผนยุทธศาสตร์(Tactic planning) 4) ขั้นปฏิบัติให้สำเร็จ(Execution) และ 5) ขั้นสะท้อนผลงาน(Reflection)
- แผนการการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ AFTER Model สำหรับเด็กปฐมวัย มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดังนี้
2.1 มีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 89.52/95.19
2.2 ค่าดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.) ค่าเท่ากับ 0.7680
2.3 สามารถเสริมสร้างทักษะบริหารจัดการชีวิต (Executive Functions) ทั้ง 3 ทักษะหลัก ได้แก่ 1) ทักษะพื้นฐาน(Basic Skills) 2) ทักษะการกำกับตนเอง(Self-regulation Skills) และ 3) ทักษะปฏิบัติการให้สำเร็จ(Executive Skills) ให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01
เอกสารอ้างอิง
นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล. (2562). การพัฒนาสมองด้านการคิดในเด็กปฐมวัย. ในคู่มือพัฒนาทักษะสมอง EF : Executive Functions. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : เอกพิมพ์ไท.หน้า 17-27
ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์. (2559). เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก.
_____. (2561). เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF:เสริมสร้าง EF และทักษะศตวรรษที่ 21 ให้ลูกน้อยด้วยวิธีการง่ายๆที่ได้ผล. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก.
พนิดา ยอดราช. (2561). การพัฒนารูปแบบการสอน BHC เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ในจังหวัดสงขลา. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ: ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2561. หน้า 51-60.
วรรณี แกมเกตุ. (2551). วิธีวิทยาการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อดิศร บาลโสง วลัย อิศรางกูร ณ อยุธยา และอัมพร ม้าคนอง. (2557). การพัฒนารูปแบบการการเรียนการตามทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญาและแนวคิดการวางแผนยุทธศาสตร์ชีวิตเพื่อเสริมสร้างการกากับตนเองและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสุขศึกษาของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อดิศร บาลโสง. (2563). ประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ AFTER Model เพื่อการเสริมสร้างทักษะการกากับตนเองและทักษะบริหารจัดการชีวิตของเด็กปฐมวัยในจังหวัดบุรีรัมย์. การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption in Education” คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.). หน้า 382-397.
อภิรักษ์ ตาแม่ก๋ง. (2562). ผลของโปรแกรม I AM TAP ต่อทักษะการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย. วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ: ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน 2562. หน้า 182-196.
Bandura, A. (1989). Social cognitive theory.In R. Vasta (Ed.), Annals of child development. Vol. 6. Six theories of child development (pp. 1-60). Greenwich, CT: JAI Press.
Barkley, R. A. (2011). Executive Function: What They Are, How They Work and Why They Involved. New York: Guilford Press.
Diamond, A. & Daphne, S. L., (2016). Conclusions about interventions, programs, and approaches for improving executive functions that appear justified and those that, despite much hype, do not. Program in Developmental Cognitive Neuroscience, Department of Psychiatry, UBC, 2255 Wesbrook Mall, Vancouver, BC, Canada. Retrieved from http://www.elsevier.com on 03/09/2019 at 10.42 a.m.
Esterhuizen, S. & Grosser, M., (2014). Improving some cognitive functions, specifically executive functions in grade R learners. South African Journal of Childhood Education. Vol.4 (1): 111-138. University of Johannesburg.
Gredler, M. E., & Garavalia, L. S. (2000). Students’ Perceptions of Their Self-Regulatory and Other-Directed Study Strategies: A Factor Analysis. Psychological Reports: Volume 86, Issue, pp. 102-108
Kerlinger, F. & Lee, H. (2000). Foundations of Behavioral Research. Orlando, FL: Harcourt College Publishers.
Kral, V. A., MacLean, Paul D. (1973). A Triune concept of the brain and behaviour, by Paul D. MacLean. Including Psychology of memory, Sleep and dreaming; papers presented at Queen's University, Kingston, Ontario, February 1969 Published for the Ontario Mental Health Foundation by Univ. of Toronto Press.
MacLean, P. D. (1990). The triune brain in evolution: role in paleocerebral functions. New York: Plenum Press.
Mandana K. Mohtasham, Allyson B. Patterson, Katherine C. Vennergrund,Eileen Chen & Robert Pasnak, (2017). Emotional competence, behavioural patterning, and Executive Functions, Early Child Development and Care. (Online) Journal homepage http://www.tandfonline.com
Willough, M.T., Blair, C.B. (2016). Measuring Executive Function in Early Childhood: A Case for Formative Measurement. Psychological Assessment. American Psychological Association. Vol. 28, No. 3, 319–330.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
จรรยาบรรณผู้เขียนบทความ
ผู้เขียนบทความต้องรับรองว่าบทความนี้ไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใดหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ มาก่อน ต้องไม่คัดลอกผลงานผู้อื่นมาปรับแต่งเป็นบทความของตน และไม่ได้อยู่ระหว่างการเสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ อีกทั้งยอมรับหลักเกณฑ์การพิจารณาและการตรวจแก้ไขบทความต้นฉบับโดยกองบรรณาธิการวารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
บทความทุกเรื่องได้รับการตรวจพิจารณาทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาของบทความ ซึ่งผู้เขียนต้องแก้ไขตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่เป็นไปตามกำหนดกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์และยกเลิกการตีพิมพ์โดยจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ข้อความที่ปรากฏในบทความของวารสารนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยนครราชสีมาแต่อย่างใด และกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาและตรวจประเมินบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารของวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์