ความต้องการจำเป็นในการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิด ผลลัพธ์การเรียนรู้ของสะตีมศึกษา สังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผลลัพธ์การเรียนรู้ของสะตีมศึกษา สังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารวิชาการตามแนวคิดผลลัพธ์การเรียนรู้ของ สะตีมศึกษา สังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 340 โรงเรียน โดยสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผลลัพธ์การเรียนรู้ของสะตีมศึกษา สังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน อยู่ในระดับมาก (4.09) และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผลลัพธ์การเรียนรู้ของสะตีมศึกษา สังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน อยู่ในระดับมากที่สุด (4.64) เมื่อจำแนกการบริหารวิชาการ พบว่า ความจำเป็นสูงสุง คือ การจัดการเรียนการสอน (0.140) รองลงมา คือ การพัฒนาหลักสูตร (0.139) และการวัดและประเมินผล (0.133) ตามลำดับ เมื่อจำแนกผลลัพธ์การเรียนรู้ของสะตีมศึกษา พบว่า ความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ การบูรณาการความรู้นำไปใช้ในการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาได้กับชีวิตจริง (0.154) รองลงมา คือ การบูรณาการความรู้นำไปใช้ในการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (0.138) และการบูรณาการความรู้นำไปใช้ในการทำงานร่วมกันและการทำงานเป็นทีม (0.119) ตามลำดับ ส่วนด้านสภาพแวดล้อมภายนอก พบว่า ความต้องการจำเป็นสูงสุด ด้านนโยบายของรัฐ คือ การวัดและประเมินผล (0.153) ด้านสภาพเศรษฐกิจ คือ การพัฒนาหลักสูตร (0.169) ด้านสภาพสังคม คือ การวัดและประเมินผล (0.169) และด้านเทคโนโลยี คือ การวัดและประเมินผล (0.146)
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
ชัยยุทธ ปัญญสวัสดิ์สิทธิ์. (2560). นโยบายการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
ประภา แสงทอง. (2562). ความต้องการพัฒนาการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาของครูระดับมัธยมศึกษา. วารสารวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, 11(2), 45-58.
ภัทรมนัส ศรีตระกูล. (2563). ผลกระทบของผลการประเมิน PISA ต่อการจัดการเรียนการสอนในประเทศไทย.
ใน วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการศึกษา. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.
รักษพล ธนานุวงศ์. (2556). การเปรียบเทียบผลการประเมิน PISA ของประเทศไทยกับประเทศในอาเซียนและแนวทางการพัฒนา. กรุงเทพมหานคร: สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการศึกษา.
ศิริชัย กาญจนวาสี. (2552). สถิติสำหรับการวิจัย. (พิมพ์ครั้งที่ 14). กรุงเทพมหานคร: สุวีริยาสาส์น.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2553). แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2567). รายงานข้อมูลจำนวนนักเรียนและสถานศึกษารายเขตพื้นที่การศึกษา ปีการศึกษา 2567. กรุงเทพมหานคร: สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2561). คุณลักษณะของคนไทย 4.0 ตามเป้าหมายการศึกษาแห่งชาติ. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ.
อดุลย์ วังศรีคูณ. (2557). แนวทางการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง.
Beers, S. Z. (2011). Teaching 21st century skills: An ASCD action tool. Alexandria, VA: ASCD.
Bybee, R. W. (2010). Advancing STEM Education: A 2020 Vision. Technology and Engineering Teacher, 70(1), 30-35.
Cronbach, L. J. (1990). Essentials of psychological testing. (5th ed.). New York: Harper & Row.
Fioriello, P. (2010). What is STEAM education? Retrieved April 30, 2025, from https://artsintegration.com/what-is-steam-education-in-k-12-schools/
Likert, R. (1932). A technique for the measurement of attitudes. Archives of Psychology, 140(1932), 1-55.
Sanders, M. (2009). STEM, STEAM Education, STEMmania. The Technology Teacher, 68(4), 20-26.
Yamane, T. (1973). Statistics: An introductory analysis. (3rd ed.). New York: Harper & Row.