การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กด้อยโอกาสด้วยกิจกรรมทัศนศิลป์สร้างสรรค์ในโรงเรียนสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จังหวัดเชียงใหม่

Main Article Content

สายพิณ สังคีตศิลป์

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทและข้อมูลพื้นฐานของเด็กด้อยโอกาส 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมของเด็กด้อยโอกาสก่อนและหลังการปฏิบัติกิจกรรมทัศนศิลป์สร้างสรรค์ 3) ศึกษาความพึงพอใจของเด็กด้อยโอกาสที่มีต่อกิจกรรมทัศนศิลป์สร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดกิจกรรมทัศนศิลป์สร้างสรรค์ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบประเมินพฤติกรรม และแบบประเมินความพึงพอใจ ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา และข้อมูลเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) บริบทและข้อมูลพื้นฐาน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนมากเป็นเพศชาย มีอายุ 10 ปี มีน้ำหนัก 31 - 40 กก. มีส่วนสูง 101 - 150 ซม. ส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่เชียงใหม่ นับถือศาสนาพุทธ ทุกคนพักอาศัยในโรงเรียน และไม่มีภาวะความพิการ มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ร่าเริงแจ่มใส มีน้ำใจ ขยัน และมีจิตสาธารณะ เข้ากับสังคมหรือกลุ่มเพื่อนได้ดี มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี 2) ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมของเด็กด้อยโอกาสก่อนและหลังการปฏิบัติกิจกรรมทัศนศิลป์สร้างสรรค์ ซึ่งพฤติกรรมของเด็กด้วยโอกาสทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านจิตใจและอารมณ์ เปลี่ยนแปลงมากที่สุด เด็กใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น การอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อน และทำงานร่วมกับผู้อื่น และ 3) ความพึงพอใจของเด็กด้อยโอกาสที่มีต่อกิจกรรมทัศนศิลป์สร้างสรรค์โดยภาพรวม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
สังคีตศิลป์ ส. . (2023). การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กด้อยโอกาสด้วยกิจกรรมทัศนศิลป์สร้างสรรค์ในโรงเรียนสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จังหวัดเชียงใหม่. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 10(3), 123–134. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/268320
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.

ตฤณ กิตติการอำพล. (2560). การสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมเพื่อการบำบัดเด็กที่มีความต้องการพิเศษ. ใน รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา.

ปริณ ทนันชัยบุตร. (2558). การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ เรื่อง ภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ทัศนศิลป์เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์. วารสารศึกษาศาสตร์ ฉบับวิจัยบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 9(3), 96-103.

รัตนาภรณ์ สมบูรณ์. (2556). ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์. ใน ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2560). แผนพัฒนาการจัดการศึกษาสงเคราะห์ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2560 - 2564). นครปฐม: โรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.

Abdulah, D. M. & Abdulla, B. M. 0. (2018). Effectiveness of group art therapy on quality of life in paediatric patients with cancer: A randomized controlled trial. Complementary Therapies in Medicine, 41(A1-A6), 180-185.

Beebe, A., et al. (2010). A randomized trial to test the effectiveness of art therapy for children with asthma. Journal of Allergy and Clinical Immunology, 126(2), 263-266.

Heyder, D. W. et al. (1969). Case study: The use of volunteer art therapists with underprivileged children. Bulletin of Art Therapy, 8(3), 97–104.

Krason, K. (2020). “Man of Glass”, or Art Therapy through Theatre in a Group of Underprivileged Children. The New Educational Review, 60(2020/60), 135-147.

Moula, Z. (2020). A systematic review of the effectiveness of art therapy delivered in school-based settings to children aged 5-12 years. International Journal of Art Therapy, 25(2), 88-89.

Visser, A. & Hoog, M. O. (2008). Education of creative art therapy to cancer patients: Evaluation and effects. Journal of Cancer Education, 23(2), 80-84.

Wallander, J. L. & Koot, H. M. (2016). Quality of life in children: A critical examination of concepts, approaches, issues, and future directions. Clinical Psychology Review, 45(April 2016), 131-143.