การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม โดยใช้แนวทาง FAST HUGS BID
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม และ 2) ศึกษาผลลัพธ์ของรูปแบบการดูแลผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมโดยใช้แนวทาง FAST HUGS BID แบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ระยะ คือศึกษาสถานการณ์ ดำเนินการพัฒนารูปแบบ และศึกษาผลลัพธ์ของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเลือกแบบเจาะจงเป็นพยาบาลวิชาชีพในหอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม โรงพยาบาลอ่างทอง จำนวน 12 คน และผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม จำนวน 148 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวทางการสนทนากลุ่ม รูปแบบการดูแลผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม แบบบันทึกผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม แบบประเมินความรู้และสมรรถนะของพยาบาลวิชาชีพ และแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหาและสร้างข้อสรุป ข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์โดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ pair t-test ผลการวิจัย 1) ได้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม คือ TAKE Model 2) ผลลัพธ์จากการใช้รูปแบบพบว่า (1) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย พบว่าอัตราการเสียชีวิต จำนวนวันนอนโรงพยาบาล ค่ารักษาพยาบาล อัตราการเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ และการหย่าเครื่องช่วยหายใจไม่สำเร็จลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนอัตราการดึงท่อช่วยหายใจ/ ท่อหายใจเลื่อนหลุด อัตราการเกิด DVT อัตราการเกิดภาวะ AIK อัตราการเกิดภาวะ DKA อัตราการเกิดภาวะ Acidosis และอัตราการเกิดภาวะDelirium ลดลงอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (2) พยาบาลวิชาชีพมีความรู้และสมรรถนะในการดูแลผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) และมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบในระดับมาก รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมกับการดูแลผู้ป่วยวิกฤต ศัลยกรรม สามารถเพิ่มคุณภาพการพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กัญจนา ปุกคํา และธารทิพย์ วิเศษธาร. (2559). การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมโดยใช้แนวทาง FAST HUG. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 25(1), 116-127.
พัชนีภรณ์ สุรนาทชยานันท์ และคณะ. (2561). การพัฒนาระบบการพยาบาลผู้ป่วยภาวะติดเชื้อในโรงพยาบาลเลย. วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ, 36(1), 207-215.
โรงพยาบาลอ่างทอง. (2564). สถิติผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก. อ่างทอง: โรงพยาบาลอ่างทอง.
วิจิตรา กุสุมภ์. (2560). การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตแบบองค์รวม. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพมหานคร: สหประชาพาณิชย์.
วิจิตรา กุสุมภ์ และสุนันทา ครองยุทธ. (2563). ผลกระทบด้านจิตใจในผู้ป่ววิกฤต: กลยุทธ์ในการจัดการ. วารสารพยาบาล, 69(3), 53-61.
วิราวรรณ เมืองอินทร์ และคณะ. (2564). การพัฒนารูปแบบการดูแลผป่วยวิกฤตโดยใช้แนวคิด FAST HUGS BID ในหอผู้ป่วยหนักอายุรกรรมและศัลยกรรม โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคระห์. วารสารพยาบาล, 48(4), 308-323.
Crabtree, B. F. & Miller, W. L. (1992). Doing Qualitative Research. London: SAGE Publications.
Papadimos, T. J. et al. (2008). Implementation of the “FASTHUG” concept decreases the incidence of ventilator-associated pneumonia in a surgical Intensive Care Unit. Patient Safety Surgery, 12(1), 2-3.
Proctor, B. (2010). Training for the supervision alliance attitude, skills and intention in Fundamental,Themes in Clinical Supervision. London: Routledge.
Vincent, J. L. (2005). Give your patient a fast hug (at least) once a day. Crit Care Med, 33(6), 1225-1229.
Vincent, W. R. & Hatton, K. W. (2009). Critically ill patients need “FAST HUGS BID” (an updated nemonic). Critical Care Medicine, 37(7), 2326-2337.