รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐานในวิชาปฏิบัติ การบริหารการพยาบาล

Main Article Content

อัญญา ปลดเปลื้อง

บทคัดย่อ

          บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้บริบท เป็นฐาน 2) ประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐาน และ 3) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลลัพธ์การเรียนรู้ตามมาตรฐานการศึกษาอุดมศึกษาแห่งชาติ สาขาพยาบาล ก่อนและหลัง การใช้รูปแบบ การวิจัยมี 4 ระยะ คือ 1) ศึกษาสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง 2) กำหนดรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบใช้บริบทเป็นฐาน 3) ดำเนินการตามรูปแบบที่กำหนด และ 4) ประเมินผลการจัดการเรียนรู้ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมสามเส้า โดยวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการแบบปรากฏการณ์วิทยา มีผู้ให้ข้อมูลหลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) นักศึกษาพยาบาลศาสตร์บัณฑิตชั้นปีที่ 4 จำนวน 16 คน และ 2) พยาบาลพี่เลี้ยง จำนวน 8 คน คัดเลือกแบบเจาะจง รวบรวมข้อมูล โดยการสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก และศึกษาวิจัยปริมาณแบบกึ่งทดลอง ประชากรเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์บัณฑิตชั้นปีที่ 4 จำนวน 88 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired t – test วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยา


          ผลการวิจัยพบว่า: รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบใช้บริบทเป็นฐาน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นกำหนดสถานการณ์ 2) ขั้นศึกษาค้นคว้า 3) ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ 4) ขั้นประยุกต์ใช้ ประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐานมี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ผู้เรียนสามารถฝึกปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่น 2) ผู้เรียนสามารถนำแนวทางการทำงานไปประยุกต์ใช้ในอนาคต และ 3) ผู้เรียนมีการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ ตามมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ สาขาการพยาบาล คะแนนเฉลี่ยผลลัพธ์การเรียนรู้หลังได้รับการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบใช้บริบทเป็นฐาน สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ข้อเสนอแนะจากการศึกษานี้ ผู้สอนควรใช้การเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐานในการจัดการเรียนการสอน เพื่อสร้างประสบการณ์แก่นักศึกษาและได้ผลลัพธ์การเรียนรู้ตามที่กำหนดไว้

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
ปลดเปลื้อง อ. . (2020). รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐานในวิชาปฏิบัติ การบริหารการพยาบาล. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 7(4), 156–173. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/242468
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

เกื้อกูล สายธิไชย และคณะ. (2559). การเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นพื้นฐาน และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐานและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 9(4), 28-41.

ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2558). บทบาทของครูในอนาคต: เตรียมผู้เรียนให้สอนตนเองได้ต่อไป. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์, 1(1), 1-8.

จรัสศรี เพ็ชรคง. (2556). ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ตามมาตรฐานการอุดมศึกษาสาขาการพยาบาล ของนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช. ใน โครงการวิจัย ภาควิชาการพยาบาลอนามัยชุมชนและจิตเวช. วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช.

นิทรา กิจธีระวุฒิวงษ์ และภูดิท เตชาติวัฒน์. (2555). การจัดการเรียนโดยใช้บริบทเป็นฐาน: กลยุทธ์ สู่ความสำเร็จของนโยบายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล. วารสารพยาบาลสาธารณสุข, 26(1), 87-89.

ประสาท เนืองเฉลิม. (2557). การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 21. มหาสารคาม: อภิชาตการพิมพ์.

พัชรมัย นิ่มละออ. (2559). ผลการใช้แนวคิดการเรียนรู้โดยใช้เป็นฐานที่มีต่อความเข้าใจ มโนทัศน์ชีววิทยาของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย. ใน วิทยานิพนธ์ครุศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาวิทยาศาสตร์. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ศุภกร สุขยิ่ง และคณะ. (2560). การจัดการเรียนรู้แบบใช้บริบทเป็นฐานร่วมกับการ ใช้ข่าวเป็นสื่อ เรื่อง สภาพสมดุลเพื่อพัฒนาการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์, 18(2), 31-44.

De Jong, O. (2006). Context - based chemical education: How to improve it? Chemical Education International, 8(1), 1-7.

Lincoln, YS. & Guba, EG. (1985). Naturalistic Inquiry. Bevery Hills, CA: Sage.

McLellan, H. (1996). Situated Learning Perspectives. Englewood Cliffs: NJ Educational Technology Publications.

Miles, M. B. & Huberman, A. M. (1994). Qualitative data analysis. (2nd ed.). Thousand Oaks, CA: Sage.

Shreeve. (2008). Beyond the Didactic Classroom: Educational Models to Encourage Active Student Involvement in Learning. Journal of Chiropractic, 22(1), 23-28.