การประยุกต์ใช้วิธีวิทยาคิวในการพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำยุค 4.0 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา

Main Article Content

จินตนา งามเจริญมงคล
สมคิด สร้อยน้ำ
สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์

บทคัดย่อ

          การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำยุค 4.0 โดยการประยุกต์ใช้วิธีวิทยาคิวสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การดำเนินการศึกษาโดยวิธีการวิจัยแบบผสมระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ  โดยขั้นแรกดำเนินการศึกษาแนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำด้วยการศึกษาวิเคราะห์เอกสาร ตำรา บทความ  งานวิจัยต่าง ๆ (Document Analysis) และการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คนที่มีความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง แล้วทำการพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำยุค 4.0 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา โดยใช้วิธีวิทยาคิวจากผู้เชี่ยวชาญ 16 คน และทำการประเมินรูปแบบภาวะผู้นำยุค 4.0 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา โดยการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจำนวน 274 คน ขั้นสุดท้ายคือทำการตรวจสอบยืนยันรูปแบบภาวะผู้นำยุค 4.0 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา โดยการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญจำนวน 9 คนและการทำแบบประเมินรูปแบบที่ได้จากงานวิจัย


          ผลการวิจัยพบว่า  
         รูปแบบภาวะผู้นำยุค 4.0 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาประกอบด้วยมี 3 องค์ประกอบคือ 1) องค์ประกอบด้านวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นมีอุดมการณ์ของผู้นำยุค 4.0 ประกอบด้วย 10 คุณลักษณะ  เช่น การเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและชัดเจนในการนำองค์กร  การใช้หลักคุณธรรมจริยธรรมในการนำองค์กร การมีความผูกพัน และมุ่งมั่นในอุดมการณ์แห่งวิชาชีพ การมีความสามารถบริหารจัดการและปรับเปลี่ยนองค์กรให้สอดคล้องต่อบริบทของยุค 4.0 ตลอดเวลา การทำให้ทุกคนในองค์กรยึดมั่นต่อเป้าหมายร่วมกัน เป็นต้น  2) องค์ประกอบด้านการบริหารและการจัดการของผู้นำในยุค 4.0 ประกอบด้วย 11 คุณลักษณะ เช่น มีความสามารถในการนำบุคลากรและการบริหารองค์กร  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีทักษะการสื่อสารและการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น มีความสามารถบริหารจัดการต่อปัญหาอย่างสร้างสรรค์ มีวิธีการคิดและมีพฤติกรรมเชิงรุกในการบริหารและการนำองค์กร เป็นต้น มีความเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนตลอดเวลา เป็นต้น และ 3) องค์ประกอบด้านความเป็นผู้นำที่มีความเป็นธรรมาภิบาลในยุค 4.0  ประกอบด้วย 15 คุณลักษณะ เช่น มีพฤติกรรมนำองค์กรด้วยความซื่อสัตย์สุจริตยึดมั่นต่อหลักการ มีพฤติกรรมที่น่าเลื่อมใสศรัทธา มีความน่าเชื่อถือและน่าไว้วางใจ สนับสนุนให้องค์กรเกิดความร่วมมือร่วมใจต่อการทำงานแบบทีมและแบบเครือข่าย มีความสามารถบริหารองค์กรอย่างมีความรับผิดชอบที่สามารถตรวจสอบได้ มีความโปร่งใส เป็นต้น  จากนั้นนำรูปแบบร่างภาวะผู้นำที่ได้มาตรวจสอบโดยการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนใน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า  ผู้บริหารโรงเรียนมีความเห็นด้วยกับรูปแบบภาวะผู้นำรูปแบบภาวะผู้นำยุค 4.0 ในระดับมากที่สุดทุกองค์ประกอบ และเมื่อทำการยืนยันรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่า ด้านความเป็นประโยชน์  ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสมและด้านความถูกต้องของรูปแบบภาวะผู้นำยุค 4.0 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
งามเจริญมงคล จ., สร้อยน้ำ ส., & พงศ์ศรีวัฒน์ ส. (2019). การประยุกต์ใช้วิธีวิทยาคิวในการพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำยุค 4.0 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 6(7), 3314–3336. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/208012
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์. (2551). ผู้นำแห่งอนาคต ในความคิดของ PETER SENGE. เรียกใช้เมื่อ 14 กันยายน 2560 จาก https://thaicivicnet.com/?p=18

ชัยวิชิต เชียรชนะ. (2555). วิธีวิทยาคิว: มโนทัศน์และการประยุกต์ใช้กับการวิจัยทางการศึกษา. วารสารวิชาการสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.), 18(2), 179-185.

ชาญ คำภิระแปง. (2560). รูปแบบการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายและแผน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพี้นฐาน. ใน ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาผู้นำทางการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่.

ดนุช ตันเทิดทิตย์. (2555). การประยุกต์ใช้วิธีวิทยาคิวในการพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำแนวพุทธ สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา. ใน ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี.

ทัศนะ เกตุมณี. (2560). การพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำแห่งอนาคตสำหรับอธิการบดีมหาวิทยาลัยเอกชน. ใน ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี.

นราวิทย์ นาควิเวก. (2560). บทบาทผู้นำที่ดีในยุค 4.0 (Skill Set สำหรับผู้นำทุกระดับ). เรียกใช้เมื่อ 24 สิงหาคม 2560 จาก https://www.smartsme.tv/content/63868

นันทวรรณ อิสรานุวัฒน์ชัย. (2550). ภาวะผู้นำที่พึงประสงค์ในยุคโลกาภิวัตน์: ศึกษาจากหลักพุทธธรรม. ใน วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

พสุ เดชะรินทร์. (2560). ผู้นำในยุค 4.0. เรียกใช้เมื่อ 14 กันยายน 2560 จาก https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/641042

ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ. (2560). ก่อนถึงโรงเรียน 4.0: โรงเรียนเชิงสร้างสรรค์. กรุงเทพมหานคร: วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.

สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ และ กรรณิการ์ สุขเกษม. (2550). นานานวัตกรรมวิธีวิทยาคิว (Q methodology) การศึกษาสภาวะจิตวิสัยเชิงวิทยาศาสตร์: แนวคิด ทฤษฎี และการประยุกต์ใช้. กรุงเทพมหานคร: สามลดา.

สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์. (2560). การศึกษาภาวะผู้นำเพื่อการบริหารและการนำคณะของคณบดีคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560. ใน รายงานการวิจัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย.

สุวิทย์ เมษินทรีย์. (2560). ประเทศไทย 4.0 Thailand 4.0 คือ. เรียกใช้เมื่อ 24 เมษายน 2560 จาก https://www.facebook.com/drsuvitpage/

Barbara, S. M. (2017). Leadership traits, divergent thinking, and innovation in Higher Education. In Doctor of Philosophy Thesis in the College of Education. Eastern Michigan University.

Booyens, S. W. (1993). Dimensions of nurshing management. Eppindust: Juta.

Conger,J. A., & Kanungo, R. N. (1998). Charismatic leadership in organizations. Thousand Oaks, C.A.: Sage.

George, C. (2010). The 21st Century Principal. Retrieved September 14, 2560, from https://connectedprincipals.com/archives/1663

Guskey, T. R. (2000). Evaluating professional development. Thousand Oaks, CA: Corwin Press.

Harhins. (2008). Leapfrog principlep and practicep: Core components of education 3.0 and 4.0. ใน เอกสารการประชุมเรื่อง “การจัดการเรียนรู้ education 4.0 วไลยอลงกรณ์ โมเดล” 1 กรกฎาคม 2559 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์. มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์.

Krejcie, R.V., & Morgan, D.W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610.

Mary Uhl-Bien, Russ Marion, & Bill McKelvey. (2007). Complexity Leadership Theory: Shifting leadership from the industrial age to the knowledge era. The Leadership Quarterly, 18(4), 298-318.

McClelland, D. (1973). Testing for competency rather than for intelligence. American Psychologist, 28(1), 1-14.

Morrison, K. (2002). School leadership and complexity theory. London: Routledge Falmer.

Quigley, M. E. (1997). Quantum organisations. Executive Intelligence, 14(5), 14-15.

Stoner, James A. F., & Wankel, Charles. (1986). Management. 3rd ed. New Delhi: Prentice-Hall.