การเมืองของสิทธิทางวัฒนธรรมในการปกป้องวิถีดำรงชีพ ปกาเกอะญอภาคเหนือตอนบน
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการสร้างความหมายของสิทธิทางวัฒนธรรม เพื่อการต่อสู้ ต่อรอง เจรจา การอนุรักษ์วิถีดำรงชีพ 2) เพื่อศึกษาปฏิบัติการกลไกภาครัฐในการตอบโต้การเคลื่อนไหวและสิทธิทางวัฒนธรรมของปกาเกอะญอ 3) เพื่อศึกษาผลกระทบที่เกิดจากการเคลื่อนไหวด้านสิทธิทางวัฒนธรรมในการอนุรักษ์วิถีดำรงชีพปกาเกอะญอ จากการจัดการฐานทรัพยากรรูปแบบแนวใหม่ร่วมกับภาครัฐ ผู้ให้ข้อมูลหลัก 6 กลุ่มประกอบไปด้วย ประชาชนที่ได้รับผลกระทบเดือดร้อนจากนโยบายรัฐบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกอบต, ผู้นำชุมชนธรรมชาติทางจิวิญญาณในชุมชน, หัวหน้าองค์กรพัฒนาเอกชนทำงานด้านฐานทรัพยากร, ผู้นำจิตวิญญาณทางศาสนาพระสงฆ์และผู้นำคริสต์ศาสนาจารย์ จำนวน 32 คน ผู้นำองค์กรภาครัฐ, และนักวิชาการศูนย์ชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 8 คน รวม 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลรวบรวมข้อมูล จึงใช้แนวทางแบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูล จาก 1) การสัมภาษณ์เชิงลึก 2) การเข้าร่วมเวทีทางวิชาการและองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน 3) การสังเกตการณ์ในเหตุการณ์ต่าง ๆ 4) การสนทนากลุ่ม เป็นรายบุคคล เป็นรายกลุ่ม นำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ สังเคราะห์และสรุปโดยอธิบายความ
ผลการวิจัยพบว่า
สิทธิทางวัฒนธรรมเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงฐานทรัพยากร การเคารพธรรมชาติ การเคารพผู้อื่นมีความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน การเคลื่อนไหวสิทธิทางวัฒนธรรมเพื่อการต่อสู้ ต่อรอง ตอบโต้กับการปฏิบัติการกลไกในภาครัฐ มีข้อเด่นแนวคิดนี้คือ เป็นการประสานเชื่อมต่อกับภาครัฐได้ดี เพราะมีการประนีประนอม ด้วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกันได้สูงและปราศจากความรุนแรง จึงเป็นทางเลือกการจัดการฐานทรัพยากร มิติสิทธิทางวัฒนธรรม ป้องกัน ดูแล คุ้มครองสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และใช้ประโยชน์จากป่า มีกฎระเบียบหมู่บ้าน มีขอบเขตที่ทำกินที่จัดเจน โดยการจับพิกัด ด้วย GPS มีขอบเขตป่าอนุรักษ์ ป่าชุมชน ที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน มีรายละเอียดของเจ้าของแปลง ป้องกันการบุกรุกป่าใหม่ ลดความขัดแย้งเพิ่มความร่วมมือป้องกันที่ดินถูกเปลี่ยนมือไปสู่บุคคลภายนอกได้ดีกว่า ส่วนข้อจำกัดแนวคิดนี้คือทางนโยบายของรัฐยังไม่เข้าใจและนำไปปฏิบัติในเชิงนโยบาย
Article Details
เอกสารอ้างอิง
คณะกรรมการประสานงานองค์กรเอกชนพัฒนาชนบท ภาคเหนือ (กป.อพช.เหนือ). (2552). ขบวนการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน การนำที่สาธารณะประโยชน์ที่ชาวบ้านเคยใช้ประโยชน์ร่วมกันไปออกเอกสารสิทธิ์. เรียกใช้เมื่อ 16 เมษายน 2560 จาก https://ncodcm.wordpress.com
คณะกรรมาธิการปฏิรูปทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2558). วาระปฏิรูปที่ 11: ปฏิรูปที่ดินและการจัดการที่ดิน. กรุงเทพมหานคร: สภาปฏิรูปแห่งชาติ.
ชลธิรา สัตยาวัฒนา. (2546). สิทธิชุมชนท้องถิ่น จากจารีตประเพณีสู่สถานการณ์ปัจจุบัน: การศึกษาเพื่อแสวงหาแนวทางนโยบายสิทธิชุมชนท้องถิ่นในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร: ศูนย์มานุษญวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน).
ชูศักดิ์ วิทยาภัค. (2558). วัฒนธรรมคืออำนาจ : ปฏิบัติการแห่งอำนาจ ตัวตน และชนชั้นใหม่ในพื้นที่วัฒนธรรม. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
นลินี ตันธุวนิตย์และคณะ. (2545). ประสบการณ์ต่อสู้ของชาวลุ่มน้ำมูล กรณีศึกษาเขื่อนปากมูลและเขื่อนราศีไศล. วิถีชีวิต วิธีสู้ : ขบวนการประชาชนร่วมสมัย , 4(1), 182-240 .
พร้อมพล สัมพันธโน. (2555). ภูมิปัญญาปกาเกอะญอกับการจัดการป่าชุมชน,สมาคมปกาเกอะญอเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม(ป.พล). เชียงใหม่: บริษัท สันติภาพแพ็คพริ้นท์ จำกัด.
มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคเหนือ. (2558). การจัดการป่าโดยองค์กรเครือข่ายลุ่มน้ำโดยองค์กรชุมชน. ใน (อัดสำเนา).
ศยามล ไกยูรวงศ์และคณะ. (2545). ขบวนการเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือเพื่อพิทักษ์สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการธำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์. เชียงใหม่: สำนักพิมพ์ตรัสวิน (ซิลค์เวอร์บุคส์).
ศูนย์พัฒนาสงเคราะห์และชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่. (2545). ทำเนียบชาวเขา. กรุงเทพมหานคร: กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย.
ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน. (2549). ขบวนภาคประชาชนเป็นศูนย์กลางในการแก้ไข ปัญหาความยากจนด้านที่ดิน. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน).
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สำนักงานใหญ่). (2560). การเข้าร่วมประชุม ชุมชนปกาเกอะญอจัดการทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้. เรียกใช้เมื่อ 16 เมษายน 2560 จาก https://gfms.gistda.or.th/node/48
อธิบดี กรมป่าไม้. (19 เมษายน 2560). การเมืองของสิทธิทางวัฒนธรรมในการปกป้องวิถีดำรงชีพปกาเกอะญอภาคเหนือตอนบน. (พร้อมพล สัมพันธโน, ผู้สัมภาษณ์)
อมรา พงศาพิชญ์. (2547). ความหลากหลายทางวัฒนธรรม : กระบวนทัศน์และบทบาทในประชาสังคม. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.