รูปแบบการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ตามหลักพุทธธรรม
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง “รูปแบบการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ตามหลักพุทธธรรม” มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ตามหลักพุทธธรรม และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ตามหลักพุทธธรรม ระเบียบวิธีวิจัยใช้แบบผสม ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลัก (key informants) จำนวน 10 รูปหรือคน เลือกแบบเจาะจง จากผู้บริหารของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 จำนวน 7 คน และพระภิกษุสงฆ์จำนวน 3 รูป รวมทั้งหมด 10 รูปหรือคน เครื่องมือในการเก็บข้อมูลได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกที่มีโครงสร้าง เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนาความ
การวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 306 คน จากประชากร 1,454 คน เครื่องมือในการเก็บข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
- สภาพปัญหาการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 พบว่า แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1) สภาพปัญหาทางกาย พบว่า ความไม่พร้อมและขาดความสมดุลทางด้านร่างกายจึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติงานได้ดีเท่าที่ควร กลุ่มที่ 2) สภาพปัญหาทางศีลธรรม เพราะพื้นฐานการปฏิบัติไม่เหมือนกันและขาดการปรับตัวและพฤติกรรมให้เหมาะสมกับพื้นที่ กลุ่มที่ 3) สภาพปัญหาทางจิตใจ พบว่า ขาดความมั่นใจต่อการปฏิบัติหน้าที่รวมทั้งขาดความตื่นตัวและ กลุ่มที่ 4) สภาพปัญหาทางปัญญา พบว่า ขาดการปรับตัว ทักษะและประสบการณ์
- ศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ตามหลักพุทธธรรม พบว่า รูปแบบการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ตามหลักภาวนามุ่งไปสู่การวางรากฐานด้านกาย ด้านศีล ด้านจิต และด้านปัญญามีผลต่อการปรับเปลี่ยนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ไปสู่การมีความสามารถในงานการวางแผน การอำนวยการ และการประสานงาน เพราะการทำหน้าที่จะอยู่ในพื้นที่ ตามแนวชายแดน และพื้นที่ตอนใน และมีความสามารถช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ความมั่นคง ส่วนผลการวิเคราะห์เชิงปริมาณพบว่า ด้านการพัฒนาศักยภาพด้านกาย การพัฒนาศักยภาพด้านศีลธรรม การพัฒนาศักยภาพด้านจิตใจ การพัฒนาศักยภาพด้านปัญญา พบว่า เจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 มีความคิดเห็นต่อรูปแบบการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ตามหลักพุทธธรรม โดยรวม อยู่ในระดับมาก (
= 4.09) เมื่อพิจารณาในแต่ละด้าน พบว่า ด้านความซื่อสัตย์ สุจริต อยู่ในระดับมาก
3. รูปแบบการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ตามหลักพุทธธรรม พบว่า ด้านกาย จะต้องมีการฝึกฝนการรับรู้ทางอายตนะทั้ง 6 ประการ การดูแลระบบของธาตุ การตรวจสอบร่างกายทุก ๆ เดือน และการทดสอบสมรรถนะทางด้านร่างกาย ให้เกิดความพร้อมต่อสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ด้านศีลธรรม พยายามที่มุ่งส่งเสริมความพร้อมทาง ด้านการรักษากฎ กติกา กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย ความเป็นจรรยาบรรณ ค่านิยมที่ดีงามในความเป็นเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 การปรับเปลี่ยนทัศนคติ การส่งเสริมการปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ด้านจิต พบว่า การฝึกฝนอบรมกรรมฐานทางพระพุทธศาสนาสามารถจะปรับเปลี่ยนจิตใจให้เกิดสุขภาพจิตที่ดี และความมั่นคงทางอุดมการณ์ที่หนักแน่น การฝึกสมาธิทำให้เกิดคุณภาพทางจิต เมื่อจิตมีความหนักแน่น มีความมั่นคงในกุศลธรรมทั้งหลายไม่ก่อเกิดความชั่วร้ายในจิตใจ และด้านปัญญา มุ่งส่งเสริมให้กับเจ้าหน้าที่ให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก การรู้จักการแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะ หรือรู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านั่นเอง ลักษณะทางการพัฒนาศักยภาพมิได้เกิดขึ้นโดยความรู้สึกนึกคิดแต่จะต้องอาศัยการการศึกษาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการศึกษาตามหลักวิชาการ และการศึกษาทางประสบการณ์ที่เกิดขึ้น หรืออาจจะจัดโครงการตามหลักสูตรฝึกฝึกอบรมศักยภาพในแต่ละปีมีการทบทวนองค์ความรู้อยู่ตลอดเวลารวมทั้งการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้นอกระบบหรือการเรียนรู้ในเชิงของพื้นที่เป้าหมาย
Article Details
เอกสารอ้างอิง
จุมพล พูลภัทรชีวิน และคณะ. (2549). การวิจัยและพัฒนากระบวนการสร้างความดีมีคุณธรรม. ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม สํานักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน).
ธีรวุฒิ เอกะกุล. (2543). ระเบียบวิธีวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. อุบลราชธานี: สถาบันราชภัฎอุบลราชธานี.
พระธรรมปีฏก (ป. อ. ปยุตฺโต). (2544). พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพมหานคร: ดวงแก้ว.
พิเชษฐ์ โพธิ์ภักดิ์. (2553). การพัฒนารูปแบบการบริหารโรงเรียนนิติบุคคล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. สาขาบริหารการศึกษา, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: ดุษฎีนิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต.
ว่าที่ร้อยตรีหญิงสุทธญาณ์ โอบอ้อม. (2558). การพัฒนาศักยภาพบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามแนวพระพุทธศาสนา. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต: บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
Likert, Rensis. (1967). “The Method of Constructing and Attitude Scale”, in Reading in Attitude Theory and Measurement. Fishbeic, Matin, Ed,. New York: Wiley & Son.