แนวทางการฟื้นฟูและพัฒนากระบวนการประเพณีการสวดด้าน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่องแนวทางการฟื้นฟูและพัฒนากระบวนการประเพณีการสวดด้าน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของประเพณีการสวดด้านวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาองค์ความรู้ของประเพณีสวดด้าน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช 3) เพื่อเสนอแนวทางการฟื้นฟูและสืบทอดประเพณีสวดด้านที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสม (Mixed Methodology) คือ การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการวิจัยคุณภาพใช้เครื่องมือ คือ การสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 25 รูป/คน การสนทนากลุ่มกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 รูป/คน และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงพรรณนา ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมประเพณีสวดด้าน จำนวน 302 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม
ผลการวิจัยพบว่า
1. ประวัติความเป็นมาของประเพณีการสวดด้านวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช คือการนำหนังสือมาอ่าน เป็นทำนองภาษาภาคใต้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยความศรัทธาในพระพุทธศาสนาและองค์พระบรมธาตุเจดีย์ มีเพียงแห่งเดียวเฉพาะที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้สูญหายไปประมาณ 20 ปี และเมื่อปี พ.ศ. 2549 ทางคณะสงฆ์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีธรรมาโศกราช ได้เริ่มฟื้นฟูขึ้นใหม่ แต่ยังไม่มั่นคงเท่าที่ควร จำเป็นต้องมีการพัฒนารูปแบบและการบริหารจัดการด้านต่าง ๆ อย่างเป็นระบบและเป็นเอกภาพ มิฉะนั้นอาจจะทำให้ประเพณีนี้ไม่ได้รับความสนใจหรืออาจจะสูญหายไปอีกก็ได้
- องค์ความรู้ของประเพณีสวดด้าน เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของชาวนครศรีธรรมราช ว่ามีวิถีชีวิตผูกพันกับวัดกับพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น การสวดด้านมีองค์ความรู้หลายประการ คือ ด้านการพัฒนาสติปัญญา ด้านการพัฒนาจิตใจและอารมณ์ ด้านการพัฒนาสังคม สามารถสร้างสายสัมพันธ์ให้คนในชุมชนเกิดความรู้รักสามัคคี มีความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของท้องถิ่นได้ จึงควรที่จะมีการจัดเก็บองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อสามารถถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อความคงอยู่ของประเพณีสวดด้านอย่างยั่งยืน
- แนวทางในการฟื้นฟูและสืบทอดประเพณีสวดด้านที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน จะต้องปรับปรุงรูปแบบและพัฒนารูปแบบให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ในขณะเดียวกันจะต้องอนุรักษ์อัตลักษณ์ของการสวดด้านเอาไว้ และจะต้องมีการศึกษาค้นคว้าองค์ความรู้และมีกระบวนการจัดเก็บองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ สร้างภาคีเครือข่ายการอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีสวดด้านจากองค์กรภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วน พร้อมทั้งกำหนดมาตรการส่งเสริมและเผยแพร่อย่างมีระบบ จะทำให้การฟื้นฟูประเพณีสวดด้านยังคงสามารถดำรงอยู่ในสังคมอย่างมีความหมายและยั่งยืนต่อไปได้
Article Details
เอกสารอ้างอิง
ดิเรก พรตตะเสน. (2552). พระพุทธศาสนาในนครศรีธรรมราช เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเรื่องประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราชครั้งที่2. นครศรีธรรมราช: วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช.
ธวัช ปุณฺโณทก. (ม.ป.ป). เอกสารประกอบคำบรรยายเรื่องไทยศึกษา: รายวิชาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นลุ่มน้ำโขง (ลำดับที่ 1). มหาสารคาม: คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
นพดล พรามณี. (2556). การคงอยู่และการเปลี่ยนแปลงของฮีตสิบสองคองสิบสี่ : กรณีศึกษา หมู่บ้านชำโสม จังหวัดปราจีนบุรี. วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ ปีที่ 15 ฉบับที่ 1(29)กรกฎาคม-ธันวาคม, 35-46.
เปรมจิตต์ ชนะวงศ์. (2529). “ประเพณีสวดด้าน” ในสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ พ.ศ. 2529 เล่ม 6. สงขลา : สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
พระครูวิมลกิตติสุนทร และคณะ. (2548). การสืบสานและ อนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณี 12 เดือนที่เอื้อต่อ วิถีชีวิตชุมชนโดยความร่วมมือของชุมชนตำบลช่อแฮและตำบลป่าแดง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานกองทุนการวิจัย สำนักงานภาค.
ร้อยตำรวจเอกพัลลภ สุริยกุล ณ อยุธยา. (2542). เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลง ทางวัฒนธรรมของชาวมอญ : กรณีศึกษาหมู่บ้านเจดีย์ทอง จังหวัดปทุมธานี. วิทยานิพนธ์มานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขามานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช. (2551). การวิจัยแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายวัฒนธรรมชุมชนในการบริหารจัดการวัฒนธรรม กรณีศึกษา “ประเพณีสวดด้าน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร". กรุงเทพมหานคร: กระทรวงวัฒนธรรม.