แนวทางส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธีตามทัศนะของประชาชน ในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้
Main Article Content
บทคัดย่อ
ในการศึกษา เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่เขตจังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะจังหวัดปัตตานียังคงมีเหตุการณ์ของความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องและคณะผู้วิจัยมีความเห็นว่าควรจะสอบถามและสัมภาษณ์ทัศนะของประชาชนในจังหวัดปัตตานีว่ามีแนวทางในการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธีได้อย่างไร โดยกำหนดวัตถุประสงค์เป็นการศึกษาสภาพปัญหาและบริบทของชุมชนในจังหวัดปัตตานี แล้วค้นหาปัจจัยในการส่งเสริมและการสร้างแนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี เพื่อนำไปสู่การจัดทำคู่มือในการปฏิบัติงานให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติวิธี
ดังนั้นจึงดำเนินการวิจัยด้วยการออกแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้างของคำถามอย่างชัดเจน โดยใช้ขนาดประชากร ตัวอย่าง ในการตอบแบบสอบถาม 405 ตัวอย่าง และประชากรตัวอย่างในการสัมภาษณ์ อีก 34 ตัวอย่าง พร้อมกับหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการพิสูจน์สมมติฐานด้วยค่า t-test และOne way Anova
ผลการศึกษาพบว่า
ประชากรส่วนใหญ่ในปัตตานีนับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 86.25 และมีชาติพันธุ์มลายูโดยตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ตั้งของจังหวัดปัตตานีมาเป็นเวลานาน ส่วนความขัดแย้งและความรุนแรงได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคปฏิรูปการปกครองในรัชกาลที่ 5 และการสร้างเป็นรัฐนิยมในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเพราะ ฉะนั้น จึงทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งหรือมีความคิดต่างมาอย่างยาวนาน เป็นเหตุให้ทัศนะของประชาชนต่อกรณีดังกล่าวอยู่ในระดับที่เห็นด้วยมากในการไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐและผู้ก่อความไม่สงบและการไม่แบ่งแยกความแตกต่างทางศาสนาประเพณีและวัฒนธรรมของประชนแต่ละกลุ่มเพื่อทำให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติวิธี
ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า อายุและการนับถือศาสนาแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยความแตกต่างทางด้านเพศ ระดับการศึกษา ภาษาท้องถิ่น อาชีพ และรายได้ของครัวเรือนมีความคิดเห็นไม่แตกต่าง
แนวทางส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี คือ การสร้างความสมานฉันท์ระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชนโดยการทำกิจกรรมการแก้ไขปัญหาร่วมกัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการศาสนา และส่งเสริมการเรียนรู้ให้มีความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามโดยผ่านระบบการศึกษาและไม่เลือกปฏิบัติ
ผลจากข้อเสนอแนะ คือ การวิจัยหรือศึกษาในด้านความเชื่อหรืออุดมการณ์ในด้านการปกครองของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ และการเกิดอุดมการณ์การก่อความไม่สงบ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาต่อไปอย่างเป็นระบบ
Article Details
เอกสารอ้างอิง
ไข่มุก อุทยาวลี และคณะ. (2552). การวิจัยประวัติศาสตร์นิพนธ์เมืองปัตตานีเพื่อศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น. เอกสารประกอบการประชุมกำหนดแนวทางการนำผลการวิจัยด้านปัญหาชายแดนภาคใต้สู่การปฏิบัติ. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ.
ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะและวัลย์วิภา บุรุษรัตนพันธุ์. (2544). เอกสารการสอนชุดวิชาสังคม และวัฒนธรรมไทย (พิมพ์ครั้งที่ 4) หน่วยที่ 1 – 7. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
นิปาติเหมาะ หะยีหามะ และอรอุษา ปุณยบุรณะ. (2549). การผสมผสานทางวัฒนธรรมของชาวไทยพุทธ ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวไทยมุสลิมในอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี. ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.
บัณฑิตย์ ละมะอุน และคณะ. (2552). มุสลิมกับการอยู่ร่วมกันในสังคมไทย.
บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ และคณะ. (2552). การศึกษานโยบายมาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบและการพัฒนาพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้.
พรอุษา ประสงค์วรรณะ. (2557). การศึกษาชุมชนต้นแบบต่างศาสนาที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติในแขวงวัดกัลณ์ เขตธนบุรี. กรุงเทพมหานคร: วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พล.ต. ต. ธานี ทวิชศรี. (2548). ปัจจัยความยืดเยื้อของการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในความคิดเห็นของนักยุทธศาสตร์ทหาร. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (บัณฑิตวิทยาลัย:มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์).
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสตูล. (2550). บันทึกจดหมายเหตุพระยาภูมินารถภักดี พ.ศ. 2439 – 2443. สตูล: สำนักวัฒนธรรมจังหวัดสตูล.
สุริยันต์ สุวรรณราช. (2551). รายงานการวิจัยเรื่องปัจจัยส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธีของไทยพุทธ-มุสลิมในจังหวัดสตูล.
อารง สุทธาศาสตร์. (2519). ปัญหาความขัดแย้งในสี่จังหวัดภาคใต้. กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิทักษ์ประชา.