การพัฒนารูปแบบการเพิ่มประสิทธิผลการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน (อสม.) จังหวัดพิจิตร
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการปฏิบัติงานของ อสม.จังหวัดพิจิตร 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเพิ่มประสิทธิผลการปฏิบัติงานของอสม.จังหวัดพิจิตร 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการเพิ่มประสิทธิผลการปฏิบัติงานของอสม.จังหวัดพิจิตร 4) เพื่อประเมินผลรูปแบบการเพิ่มประสิทธิผลการปฏิบัติงานของอสม. จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อสม.ในจังหวัดพิจิตร 420 คน ภาคีเครือข่าย 24 คน อสม.ในพื้นที่ทดลอง 2 ตำบล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม (ความเชื่อมั่น 0.83 - 0.88) และแนวการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลใช้ Stepwise Multiple Regression, Paired t-test และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า อสม. มีการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 59.29 ระดับปานกลาง ร้อยละ 20.71 และระดับต่ำ ร้อยละ 20.00 ปัจจัยที่ส่งผลและสามารถพยากรณ์ระดับการปฏิบัติงานของ อสม. ได้แก่ การรับรู้บทบาท แรงจูงใจด้านลักษณะงาน แรงสนับสนุนทางสังคมด้านการประเมินคุณค่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงานด้านวิธีปกครองบังคับบัญชา แรงจูงใจในการปฏิบัติงานภาพรวม ทัศนคติและอายุ (R2 adj = 0.469) รูปแบบการเพิ่มประสิทธิผลการปฏิบัติงาน ได้แก่ 1) จัดทำข้อตกลงร่วมกันในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของอสม. 2) พัฒนาศักยภาพอสม. 3) ส่งเสริมให้มีการทำงานเป็นทีม 4) สร้างแรงจูงใจ 5) ส่งเสริมให้ อสม. ได้รับแรงสนับสนุนทางสังคม 6) พัฒนา การสื่อสาร ผลการประเมินผลรูปแบบ พบว่า มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น คือ คะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติงานของอสม. หลังการใช้รูปแบบมากกว่าก่อนการใช้รูปแบบและแตกต่างกันอย่างมีนัยความสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีข้อเสนอแนะ คือ ควรประกาศเป็นนโยบายสำคัญ ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนและเผยแพร่รูปแบบให้พื้นที่ที่มีบริบทที่ใกล้เคียงนำไปประยุกต์ใช้
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กองสุขภาพภาคประชาชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. (2565). จำนวนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.). เรียกใช้เมื่อ 5 มกราคม 2566 จาก https://shorturl.asia/CFLSm
กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. (2561). การเสริมสร้างและประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มเด็กและเยาวชน (อายุ 7 - 14 ปี) กลุ่มประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ฉบับปรับปรุง ปี 2561. นนทบุรี: กองสุขศึกษา.
ณัฐพงษ์ เฮียงกุล และยุทธนา แยบคาย. (2563). ปัจจัยทำนายการปฏิบัติงานตามบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเขตเมือง จังหวัดสุโขทัย. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 29(2), 314-322.
ปรางค์ จักรไชย และคณะ. (2560). ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในทีมหมอครอบครัว จังหวัดปทุมธานี. วารสารพยาบาลสาธารณสุข, 31(1), 16-28.
พฤหัสกัญยา บุญลบ และคณะ. (2563). การปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในเขตเทศบาลเมืองชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี. วารสารสิรินธรปริทรรศน์, 21(2),197-205.
ยุทธนา แยบคาย. (2564). รูปแบบการพัฒนาผลการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน. ใน วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรดุษฎีบัณฑิต. มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ศิวพร สุนทรีวงศ์ และคณะ. (2562). การพัฒนารูปแบบการเพิ่มประสิทธิผลการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เทศบาลนครตรัง จังหวัดตรัง. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 6(1),75-87.
สรวุฒิ เอี่ยมนุ้ย. (2564). ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานตามบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคโควิด - 19 อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย. วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา, 1(2), 75-90.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร. (2567). การพัฒนายกระดับความรู้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหมอประจำบ้าน. พิจิตร: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร.
Bloom, B. S. J. (1975). Taxonomy of educational objectives, handbook I : The cognitive domain. New York: David Mckay.
Cronbach, L. J. (1951). Coefficient Alpha and the Internal Structure of Tests. Psychometrika, 16(3), 297-334.
Green, L. & Kreuter, M. (2005). Health program planning: an educational and ecological Approach. (4th ed.). New York: McGraw Hill.
Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610.
Rovinelli, R. J. & Hambleton, R. K. (1977). On the use of content specialists in the assessment of criterion-referenced test item validity. Tijdschrift voor Onderwijsresearch, 2(2), 49-60.
Schermerhorn, J. R. et al. (2008). Organizational behavior. (10 th ed.). Hoboken: Wiley.