ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2025.288180คำสำคัญ:
การบริหารแบบมีส่วนร่วม; , แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน; , ความสัมพันธ์บทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ในยุคโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาภาวะผู้นำให้เหมาะสมกับยุคสมัยนี้ การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้กับครู และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อโรงเรียน เมื่อครูมีความสุขในการทำงานและมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียน จะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น และนักเรียนก็จะได้รับประโยชน์สูงสุด ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 1 2) เพื่อศึกษาระดับของแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 1 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา กับ แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 1
ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครูในสถานศึกษา ปีการศึกษา 2567 ได้จากการเปิดตารางสําเร็จรูปของโคเฮน (Cohen, et. al (2018, p. 206) ในการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ .05 โดยใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Random Sampling) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 306 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม (Questionnaire) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ คาเฉลี่ย (Mean) และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: SD) และหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรสัน (Pearson's Product-Moment Correlation Coefficient)
ผลการวิจัย: 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
สรุปผล: ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 มีความสัมพันธ์ทางบวกกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารควรใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อเปิดโอกาสให้ครูและบุคลากรทุกระดับมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการแก้ปัญหา มีส่วนร่วมในการดำเนินการและร่วมรับผลประโยชน์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูอย่างมาก และเสริมสร้างคุณภาพการจัดการศึกษาโดยรวมให้มีประสิทธิภาพต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กนกทิพย์ สุขอนันต์. (2566). ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี.
กมลวรรณ โคตรชมภู. (2565). ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการทำงานกับความผูกพันต่อองค์การของครูโรงเรียนขนาดกลาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏนครพนม.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2563). รายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563. กรุงเทพฯ: สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ.
เกตุแก้ว พันชั่ง, & ราเชนทร์ นพณัฐวงศกร. (2563). แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.). วารสารวิชาการธรรมทรรศน์, 20(1), 119–128.
ชลิตา จันทร์ดี. (2565). ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา จังหวัดมหาสารคาม (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ชูศรี วงศ์รัตนะ. (2562). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 10). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์.
ไชยฤทธิ์ อนุสรณ์. (2565). พัฒนาการและแนวคิดการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมของประชาชนในประเทศไทย. วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์, 5(2), 113–127.
ธวัชชัย จันทร์ทอง. (2564). การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 2. วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, 21(2), 55–68.
พรเทพ เหมรานนท์. (2564). การบริหารทรัพยากรมนุษย์ยุคใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิชาการแห่งชาติ.
พัชรินทร์ ศรีสวัสดิ์. (2566). แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยสวนดุสิต สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 14(2), 45–58.
พัชรี พันธุ์แตงไทย. (2564). การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อส่งเสริมคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู (วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ภัทร์สรสิริ กัญญนันทน์. (2564). แรงจูงใจที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. วารสารการบริหารและนโยบายสาธารณะ, 8(2), 85–98.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1. (2567). ข้อมูลประชากรครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1
สุภารัตน์ กุลโชติ. (2566). ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานกับประสิทธิผลของบุคลากรสังกัดเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา. วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา, 6(2), 1–15.
แสงเดือน ดวงสุข. (2566). การบริหารแบบมีส่วนร่วมในโรงเรียนขนาดเล็กที่ประสบความสำเร็จ. วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์, 38(2), 45–56.
อนุวัฒน์ ทัศบุตร. (2565). ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2. วารสารวิจัยทางการศึกษา, 19(3), 85–95.
อภิรักษ์ สุขอนันต์. (2566). การมีส่วนร่วมของครูในการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล. วารสารบริหารการศึกษาและภาวะผู้นำ, 3(1), 22–34.
อัญชลี รัตนมาลี. (2566). การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 2 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยบูรพา.
Cohen, L., Manion, L., & Morrison, K. (2018). Research methods in education (8th ed.). New York: Routledge.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Interdisciplinary Academic and Research Journal

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





