รูปแบบกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องที่มีประสิทธิผลของศาลชั้นต้นในสังกัดสำนักศาลยุติธรรมประจำภาค 4
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2025.284985คำสำคัญ:
รูปแบบ, การไกล่เกลี่ย, ประสิทธิผล, ศาลชั้นต้นบทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ประสิทธิผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรม การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลแบบจำลองรูปแบบกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องที่มีประสิทธิผลของศาลชั้นต้นในสังกัดสำนักศาลยุติธรรมประจำภาค 4 กับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 2. สร้างและยืนยันรูปแบบกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องที่มีประสิทธิผลของศาลชั้นต้นในสังกัดสำนักศาลยุติธรรมประจำภาค 4
ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยนี้แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 การตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลแบบจำลองรูปแบบกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องที่มีประสิทธิผลของศาลชั้นต้นในสังกัดสำนักศาลยุติธรรมประจำภาค 4 กับข้อมูลเชิงประจักษ์ ลักษณะวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) กลุ่มตัวอย่าง 250 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบสองตอน ได้แก่ วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบโควตา และวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) การวิเคราะห์ตรวจสอบสหสัมพันธ์ตัวแปร และการวิเคราะห์สมการโครงสร้าง (SEM) ระยะที่ 2 การสร้างและยืนยันรูปแบบกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องที่มีประสิทธิผลของศาลชั้นต้นในสังกัดสำนักศาลยุติธรรมประจำภาค 4 ลักษณะวิธีวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) ทำการสร้างและยืนยันรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 17 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีหาค่ามัธยฐาน (Median) ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ (IQR) และการตัดสินฉันทามติ และการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ นำเสนอข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา
ผลการวิจัย: ผลการวิจัยพบว่า 1. แบบจำลองรูปแบบกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องที่มีประสิทธิผลของศาลชั้นต้นในสังกัดสำนักศาลยุติธรรมประจำภาค 4 มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี และ 2. รูปแบบกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องที่มีประสิทธิผลของศาลชั้นต้นในสังกัดสำนักศาลยุติธรรมประจำภาค 4 มีความเหมาะในระดับมากที่สุด และผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน
สรุปผล: รูปแบบกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องที่มีประสิทธิผลของศาลชั้นต้นในสังกัดสำนักศาลยุติธรรมประจำภาค 4 ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานทางทฤษฎี ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำตัวบ่งชี้ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิผล
เอกสารอ้างอิง
ณัฐวัชร จันทโรธรณ์ และพงษ์ศักดิ์ พัวพรพงษ์. (2563). ประสิทธิผลขององค์การ. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ, 9(2), 1-9.
ธานินทร์ ศิลป์จารุ. (2557). การวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วย SPSS (พิมพ์ครั้งที่ 1). นนทบุรี: เอสอาร์พริ้นติ้งแมสโปรดักส์.
นันท์ณภัส เสนีย์สิงหนาถ และคณะ. (2564). ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยในการทำงานกับประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีมของพนักงานบริษัทสหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน). วารสารรัชต์ภาคย์, 15(43), 281-292.
วันทนีย์ คำคงศักดิ์. (2565). การพัฒนาระบบการพิจารณาคดีเนื่องของศาลยุติธรรม. วารสารจันทรเกษมสาร. 28(1), 1-14.
ศุภณัฏฐ์ สัตยาภิวัฒน์ บุญทัน ดอนไธสง และบุญเลิศ ไพรินทร์. (2557). ประสิทธิผลการบริหารงานระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศาลยุติธรรมตามหลักธรรมาภิบาล. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, 8(3), 130-151.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. (2549). แนวทางการเสริมสร้างจริยธรรม คุณธรรม และการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ข้าราชการ. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ.
สำนักส่งเสริมงานตุลาการ. (2567). คู่มือการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องสำหรับประชาชน. กรุงเทพฯ: ออล ปริ้นท์ เซ็นเตอร์.
สุชานุช พันธนียะ. (2561). การสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายยุติธรรมทางเลือกด้วยวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในศาลชั้นต้นไปปฏิบัติ. วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการมหาวิทยาลัยมหิดล, 4(1), 250-273.
สุรีรัตน์ ตาใจ. (2559). ปัญหาอุปสรรคในกระบวนการไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อพิพาทชั้นศาลในคดีครอบครัว: ศึกษาเฉพาะคดีศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง (สาขามีนบุรี) (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
อธิป จันทนโรจน์, สุชาดา รัตนพิบูลย์ และธัชพงษ์ วงษ์เหรียญทอง. (2565). เขตศาลเยาวชนและครอบครัวในการพิจารณาคดีครอบครัวที่ผู้เยาว์มีผลประโยชน์หรือส่วนได้เสีย. วารสารสหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. 5(2), 704-716.
อัญชลี พูลเต็ม. (2562). แนวคิดและหลักการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องคดีต่อศาล. Retrieved 8 August 2024. From: https://www.lawforasean.krisdika.go.th/Content/View?Id=531&Type=1
Bollen, K. A. (1989). Structural equations with latent variables. John Wiley & Sons, Inc.
Browne, M. W., & Cudeck, R. (1993). Alternative ways of assessing model fit. In K. A. Bollen & S. Long (Eds.), Testing structural equation models. Newbury Park: Sage.
Byrne, B. M. (2010). Structural Equation Modeling with Amos: Basic Concepts, Applications, and Programming (2nd ed.). New York: Taylor and Francis Group.
Chatterjee, S., & Simonoff, J.S. (2013). Handbook of Regression Analysis. John Wiley & Sons, Inc.
Cronbach, L. J. (1990). Essentials of psychological testing (5th ed.). New York: Harper Collins Publishers.
Diamantopoulos, A., & Siguaw, J. A. (2000). Introducing LISREL. London: Sage.
Drucker, F. (1968). The effective executive. New York: Harper & Row.
Etzioni, A. (1964). Modern Organization. Englewood Cliffs: Prentice-Hall.
Field, E., Pande, R., Papp, J., &Rigol, N. (2013). Does the Classic Microfinance Model Discourage Entrepreneurship among the Poor? Experimental Evidence from India. American Economic Review. 103 (6), 2196–2226. https://doi.org/10.1257/aer.103.6.2196
George, D. & Mallery: (2010). SPSS for Windows Step by Step: A Simple Guide and Reference 17.0 Update (10th ed). Boston: Pearson.
Griffiths, J. C., (1967). Scientific Method in Analysis of Sediments: New York: McGraw-Hill.
Hair, J. F., Black, W. C., Babin, B. J., & Anderson, R. E. (2010). Multivariate data analysis. Englewood Cliffs, NJ: Prentice Hall.
Hair, J., Black, W., Babin, B., Anderson, R., & Tatham, R. (2006). Multivariate Data Analysis (6th ed.). Upper Saddle River, NJ: Pearson Prentice Hall.
Hall, D. T. (2002). Careers in and out of organizations. Thousand Oaks: Sage.
Harrison-Walker, L. J. (2001). The Measurement of Word-of-Mouth Communication and an Investigation of Service Quality and Customer Commitment as Potential Antecedents. Journal of Service Research, 4(1), 60–75. https://doi.org/10.1177/109467050141006.
Hoy, W. K., & Miskel, C. G. (2001). Educational Administration: Theory Research and Practice (6th ed.). Boston: McGraw-Hill.
Hoy, W.K., & Miskel, C.G. (1991). Educational Administration: Theory - Research – Practice. 4th ed. Singapore: McGraw–Hill, Inc.
Keeves, J. P. (1988). Models and model building. In Educational research, methodology, and measurement: An international handbook. United Kingdom: Pergamon Press.
Menard, S. (2002). Applied Logistic Regression Analysis. Thousand Oaks: Sage Publications.
Mueller, R. O. (1996). Confirmatory factor analysis. In Basic principles of structural equation modeling: An introduction to LISREL and EQS. New York: Springer-Verlag.
Senge: M. (1994). The Fifth Discipline Fieldbook: Strategies and Tools for Building a Learning Organization. New York: Doubleday.
Sorbon Dag. (1996). LISREL 8: User's Reference Guide. Scientific Software International
Wholey, J. S., Hatry, H. P., & Newcomer, K. E. (Eds.). (2010). Handbook of practical program evaluation. 3rd ed. San Francisco: Jossey-Bass.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Interdisciplinary Academic and Research Journal

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





