การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ สนุกกับไฟฟ้า และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการทำนาย-สังเกต-อธิบาย
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2025.283779คำสำคัญ:
วัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น, เทคนิคการทำนาย-สังเกต-อธิบาย, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์บทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการทำนาย-สังเกต-อธิบาย เป็นการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้สูงขึ้น ซึ่งใช้วัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น เพื่อให้ผู้เรียนได้สืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเองและนำความรู้เดิมไปเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ และใช้เทคนิคการทำนาย-สังเกต-อธิบาย เพื่อให้ผู้เรียนสังเกตและคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยใช้เหตุผลแล้วอธิบายเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างที่ได้จากการทำนายและการสังเกต การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการทำนาย-สังเกต-อธิบาย 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการทำนาย-สังเกต-อธิบาย เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการทำนาย-สังเกต-อธิบาย
ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 17 คน ภาคเรียน
ที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนบ้านโนนแสนสุข อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี โดยได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการทำนาย-สังเกต-อธิบาย จำนวน 4 แผน รวม 12 ชั่วโมง ค่าความสอดคล้องและเหมาะสม 4.49 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ค่าความยากง่าย 0.50-0.72 ค่าอำนาจจำแนก 0.56-1.00 และค่าความเชื่อมั่น 0.91
3) แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ค่าความยากง่าย 0.44-0.69 ค่าอำนาจจำแนก 0.63-1.00 และค่าความเชื่อมั่น 0.95
ผลการวิจัย: ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
สรุปผล: การจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการทำนาย-สังเกต-อธิบาย ช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้เรียนได้ลงมือสืบเสาะหาความมรู้ด้วยตัวเองนำไปสู่การเกิดเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่สูงขึ้น
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและหลักสูตรแกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรง พิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด.
กัญญาภรณ์ นามทอง และสิทธิศักดิ์ จุลศิริพงษ์. (2558). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E). วารสารราชพฤกษ์, 13(2), 86-92.
กิติพงษ์ ลือนาม. (2564). วิธีวิทยาการวิจัยทางการศึกษา. นครราชสีมา: ห้างหุ้นส่วนจำกัดโคราช มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ โปรดักชั่น.
กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช. (2550). สุดยอดวิธีสอนวิทยาศาสตร์นาไปสู่...การจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.
ชญานษิฐ์ สุวรรณกาญจน์ และอัญชลี ทองเอม. (2563). การพัฒนาความสามารถเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
ชาตรี เกิดธรรม. (2550). เทคนิคการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนา.
โชคชัย ยืนยง. (2561). ยุทธวิธีการจัดการเรียนรู้มโนมติฟิสิกส์. ขอนแก่น : โรงพิมพ์ขอนแก่นการพิมพ์.
ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์ และพิศาล สร้อยธุหร่ำ. (2553). ชุดพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science 3). (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: สุโขทัยธรรมาธิราช.
ธนวัฒน์ ธรรมกุล และอนุกูล จินตรักษ์. (2565). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบวัฏจักรการสืบเสาะหา ความรู้ 7 ขั้น. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 16(2), 113-123.
ธัญพร สันวิลาส และคณะ. (2563). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจคคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการพัฒนากระบวนการสำรวจค้นหาในกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 7E. e-Journal of Education Studies, Burapha University, 2(4), 14-27.
ธีริศรา ลาสอน และนฤมล ภูสิงห์. (2565). การพัฒนาชุดกิจกรรมตามแนวการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา, 3(16), 114-130.
นันทิพัฒน์ มโนรัตน์ และคณะ. (2563). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้เรื่อง โลกและการ เปลี่ยนแปลงและจิตวิทยาศาสตร์โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้นของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ, 2(2), 13-26.
พรรณวิไล ชมชิด. (2557). พฤติกรรมการสอนวิทยาศาสตร์. มหาสารคาม: ตักสิลาการพิมพ์.
พัชราพร ลิ่มคํา และอัจฉรา ธรรมาภรณ์. (2559). ผลของวัฏจักรการเรียนรู้แบบ 7 ขั้น ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. วารสารเทคโนโลยีภาคใต้, 9(2), 53-58.
พันธ์ ทองชุมนุม. (2547). การสอนวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
โรงเรียนบ้านโนนแสนสุข. (2566). รายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษาโรงเรียนบ้านโนนแสนสุข. ปราจีนบุรี: โรงเรียนบ้านโนนแสนสุข.
วรรณทิพา รอดแรงค้า และพิมพันธ์ เดชะคุปต์. (2542). การพัฒนาการคิดของครูด้วยกิจกรรมทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพ ฯ: สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.).
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ. (2566). รายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2561. Retrieved from: https://www.yst1.go.th/2022/?p=10821
สถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2555). ครูวิทยาศาสตร์มืออาชีพแนวทางสู่การเรียนการสอนที่มี ประสิทธิผล. กรุงเทพฯ: อินเตอร์เอ็ดดูเคชั่น ซัพพลายส์.
สถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2560). คู่มือครูรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพฯ: สกสค. ลาดพร้าว.
สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ. (2551). การสอนวิทยาศาสตร์โดยเน้นทักษะกระบวนการ. ก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์, 8(2), 28-38.
สิรินภา กิจเกื้อกูล. (2566). การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพ ฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนเรศวร.
สุนิสา ช้างพาลี และคณะ. (2560). การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น โดยใช้ชุดปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนเพื่อเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วารสารบัณฑิตวิจัย, 8(2), 83-99.
อุทุมพร สมหมั่น. (2563). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค Predict-Observe-Explain (POE) เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, 12(35), 93-106.
Algiranto, A., Sarwanto, S., & MARZUKI, A. (2018). Development of POE model physics learning tools (predict, observe, explain) to improve the scientific process skills of Muhammadiyah Imogiri high school students. National seminar on physics education 2018, 2(3), 23-27.
Bass, J. E., Constant, T. L., & Carin, A. A. (2009). Teaching science as inquiry. (7 thed.). Boston: Allyn and Bacon.
Cherono, J., Samikwo, D., & Kabesa, S. (2021). Effect of the 7E learning cycle model on students' academic achievement in biology in secondary schools in Chesumei sub-county, Kenya. African Journal of Education, Science and Technology, 7 (3), 11. http://41.89.164.27:8080/xmlui/handle/123456789/1331
Eisenkraft, A. (2003). Expanding the 5E model: A proposed 7E model emphasizes the “transfer of Learning” and the importance of eliciting prior understanding. The Science Teacher, 70(6), 57-59.
Uriyah, N.C., Supardi, Z., & Suryanti. (2023). Effectiveness of the POE Learning model on science process skills in Temperatures and Heat of Elementary Students. Studies in Philosophy of Science and Education, 4(2), 66-76. https://doi.org/10.46627/sipose.v4i2.283
White, R. T., & Gunstone, R.F. (1992). Probing Understanding. London: Falmer Press.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Interdisciplinary Academic and Research Journal

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





