แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพจังหวัดกาญจนบุรี
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2025.282067คำสำคัญ:
การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ, การจัดการทรัพยากร, การมีส่วนร่วมของชุมชน, ความยั่งยืนบทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การพัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยวถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรับปรุงประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็รับประกันความยั่งยืน การปกป้องทรัพยากรทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเพิ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวให้กับชุมชนท้องถิ่น นอกจากนี้ยังส่งเสริมแนวทางการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบซึ่งสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความเป็นอยู่ที่ดีของจุดหมายปลายทาง ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาแนวทางการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพในจังหวัดกาญจนบุรี โดยมุ่งเน้นที่ปัจจัยที่มีผลต่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน และสำรวจบทบาทของชุมชนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบการในพื้นที่ การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพนั้นให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำแก่ผู้มาเยือน
ระเบียบวิธีการวิจัย: งานวิจัยนี้ใช้วิธีการเชิงคุณภาพ ผ่านการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่มกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้เข้าใจมุมมองและความต้องการที่แท้จริง
ผลการวิจัย: (1) กาญจนบุรีมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น สะพานข้ามแม่น้ำแคว อุทยานแห่งชาติไทรโยค และน้ำตกเอราวัณ ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ดี อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การบำรุงรักษาแหล่งท่องเที่ยว และการกระจายนักท่องเที่ยวอย่างไม่ทั่วถึง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาความแออัดในบางพื้นที่และส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพในกาญจนบุรีควรมุ่งเน้นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนถือเป็นหัวใจสำคัญ ชุมชนท้องถิ่นควรมีบทบาทในการดูแลและบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่คนในพื้นที่ (2) การศึกษานี้แนะนำให้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มความสะดวกและความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ เช่น แอปพลิเคชันจองบริการและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว จะช่วยลดความแออัดในแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่น และส่งเสริมการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ทั้งนี้ เทคโนโลยียังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ผู้มาเยือน (3) จากผลการศึกษานี้ ได้นำเสนอแนวทางในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพในกาญจนบุรี ได้แก่ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกกระบวนการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น แนวทางเหล่านี้จะช่วยสร้างการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชนในระยะยาว
สรุปผล: ผลการศึกษาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในจังหวัดกาญจนบุรี โดยเน้นที่การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของชุมชน และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การนำเทคโนโลยีมาใช้และการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้เยี่ยมชม ลดความแออัด และให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
เอกสารอ้างอิง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2566). รายงานการสำรวจการท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 18-20). กรุงเทพฯ: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย.
ชูเกียรติ แซ่ลิ้ม. (2562). การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนในประเทศไทย. วารสารการท่องเที่ยวไทย, 8(2),15-29.
สุนิสา วังศรีคูณ. (2563). บทบาทของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในการส่งเสริมชุมชนบ้านแม่กำปอง. วารสารวิจัยวัฒนธรรมไทย, 12(1), 112-130.
อุดมลักษณ์ อังกระโทก. (2561). การใช้เทคโนโลยี AR ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์. วารสารการจัดการและนวัตกรรม, 10(3), 59-72.
Braun, V., & Clarke, V. (2006). Using thematic analysis in psychology. Qualitative Research in Psychology, 3(2), 77–101. https://doi.org/10.1191/1478088706qp063oa
Butler, R. W. (1999). Sustainable tourism: A state-of-the-art review. Tourism Geographies, 1(1), 7-25.
Creswell, J. W., & Plano Clark, V. L. (2011). Designing and conducting mixed methods research (2nd ed.). Sage Publications.
Denzin, N. K., & Lincoln, Y. S. (2018). The Sage Handbook of Qualitative Research (5th ed.). Sage Publications.
Eagles, P. F. J., McCool, S. F., & Haynes, C. D. (2002). Sustainable tourism in protected areas: Guidelines for planning and management. IUCN.
Kvale, S., & Brinkmann, S. (2009). Interviews: Learning the craft of qualitative research interviewing (2nd ed.). Sage Publications.
Lincoln, Y. S., & Guba, E. G. (1985). Naturalistic inquiry. Sage Publications.
Morgan, D. L. (1997). Focus groups as qualitative research (2nd ed.). Sage Publications.
Orb, A., Eisenhauer, L., & Wynaden, D. (2001). Ethics in qualitative research. Journal of Nursing Scholarship, 33(1), 93-96.
Patton, M. Q. (2002). Qualitative research and evaluation methods (3rd ed.). Sage Publications.
Pine, B. J., & Gilmore, J. H. (1998). Welcome to the experience economy. Harvard Business Review, 76(4), 97-105.
Richards, G. (2014). Tourism development trajectories: From culture to creativity? Tourism Geographies, 16(3), 317-323.
Smith, M. K. (2015). Quality tourism experiences. Journal of Destination Marketing & Management, 4(3), 221-223.
Timothy, D. J., & Boyd, S. W. (2003). Heritage tourism. Pearson Education.
Weaver, D. B. (2006). Sustainable tourism: Theory and practice. Tourism Management, 27(5),822-824.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Interdisciplinary Academic and Research Journal

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





