การพัฒนาความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาไทยด้วยแบบฝึกการอ่านออกเสียงอักษรสามหมู่ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2025.280570คำสำคัญ:
ความสามารถในการออกเสียงภาษาไทย, แบบฝึกการอ่านออกเสียงอักษรสามหมู่บทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การอ่านออกเสียงในภาษาไทยนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการสื่อสารกันไม่ว่าเป็นในเชิงวิชาการ หรือการบรรยายบอกเล่าเรื่องราว เนื่องจากพยัญชนะและวรรณยุกต์ในภาษาไทยหากมีการเขียนร่วมกันแต่ต่างวรรยุกต์กันจะออกเสียงและมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป ผู้วิจัยจึงให้ความสนใจในการอ่านออกเสียงโดยนักเรียนส่วนใหญ่เกิดปัญหาในการอ่านออกเสียงจึงทำให้การสื่อสารในบางครั้งเกิดปัญหาโดยการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อศึกษาความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาไทยในวิชาวิชาสมบัติวรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนในวิชาสมบัติวรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ระเบียบวิธีการวิจัย: วิธีการดำเนินการวิจัยรูปแบบก่อนการทดลอง (Pre - experimental Research) โดยมีรูปแบบการวิจัยเป็นแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนสอนและหลังสอน (The One-Group Pretest-Posttest Design) ได้กลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 114 คน เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสุรวิวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติพื้นฐานได้แก่ สถิติบรรยาย ความถี่ ร้อยละ และสถิติอนุมานด้วยการทดสอบที (dependent samples t-test)
ผลการวิจัย: ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อ่านออกเสียงตามอักษรสามหมู่จำนวน 45 คำ โดยแบ่งเป็นอักษร กลาง ต่ำเดี่ยว ต่ำคู่ นักเรียนมีความสามารถอ่านออกเสียงถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดคืออักษรกลาง (จิก) และอ่านออกเสียงผิดมากที่สุดคืออักษรกลาง (กว๊าน) รองลงมาคืออักษรสูง (ฝาง)
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อ่านออกเสียงภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนมีคะแนนหลังเรียนเฉลี่ย 44.66 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.04 และมีคะแนนก่อนเรียนเฉลี่ย 41.66 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.67
สรุปผล: นักเรียนมักจะอ่านออกเสียงผิดคำที่อยู่ใน 1) กลุ่มอักษรกลางคำว่า กว๊าน, กว้าน 2) กลุ่มอักษรสูงคำว่า ฝาง และ3) กลุ่มอักษรต่ำคำว่า ฟ่าง และเมื่อผู้วิจัยนำคะแนนที่ได้จากแบบฝึกการอ่านออกเสียงอักษรสามหมู่มาทำการเปรียบเทียบ นักเรียนมีค่าเฉลี่ยการอ่านออกเสียงภาษาไทยอักษรสามหมู่หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551. โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, กรุงเทพฯ.
กฤตวิทย์ ดวงสร้อย. (2522). หลักภาษา. โครงการบริหารวิชาการ มศว, สงขลา.
กัลยา ติงศภัทิย์, ม.ร.ว. (2533). วรรณยุกต์ในภาษาไทยถิ่นสุพรรณบุรี: การศึกษาเปรียบเทียบวรรณยุกต์ในคำกับวรรณยุกต์ในถ้อยคำต่อเนื่อง (รายงานผลการวิจัย). ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สนิท สัตโยภาส. (2545). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและการสืบค้น. บริษัท 21 เซ็นจูรี่จํากัด, กรุงเทพฯ.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2552). แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด.
โสภัทรา คงทวี. (2557). ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี.
องค์อร จันทร์พูล. (2558). การพัฒนาแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาสารคาม.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Interdisciplinary Academic and Research Journal

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





