แนวทางการพัฒนาทักษะการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2024.280000คำสำคัญ:
แนวทางการพัฒนา, ทักษะการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง, ผู้บริหารสถานศึกษาบทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์การวิจัย: ผู้บริหารทุกระดับมีหน้าที่ในการฝึกสอนผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จ และเมื่อผู้บริหารเปลี่ยนวิธีการสอนในปัจจุบันมาเป็นการโค้ชหรือเป็นพี่เลี้ยงก็จะสามารถดึงศักยภาพของผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งด้านความรู้ ความสามารถในด้านต่าง ๆ ตลอดจนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นทักษะการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2
ระเบียบวิธีการวิจัย : การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นทักษะการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงของผู้บริหารสถานศึกษา ตอนต้น กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 306 ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 140 คน และครูผู้สอน จำนวน 166 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .94 และมีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.31 – 0.82 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการศึกษาแนวทาง จำนวน 6 คน และกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินแนวทาง จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนา
ผลการวิจัย: 1. สภาพปัจจุบันมีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และเรียงลำดับตามผลตามความต้องการจำเป็น ดังนี้ 1) ทักษะการฟัง 2) ทักษะการถาม 3) ทักษะการให้ข้อมูลป้อนกลับ 4) ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ 5) ทักษะการสร้างความไว้วางใจ ตามลำดับ 2. แนวทางการพัฒนา ประกอบด้วย 18 แนวทาง ได้แก่ 1) ทักษะการฟัง มี 4 แนวทาง 2) ทักษะการถาม มี 3 แนวทาง 3) ทักษะการให้ข้อมูลป้อนกลับ มี 3 แนวทาง 4) ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ มี 4 แนวทาง และ 5) ทักษะการสร้างความไว้วางใจ มี 4 แนวทาง สรุปแนวทางมีผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
สรุปผล: ทักษะการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงของผู้บริหารสถานศึกษา คือ ความสามารถของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ในการเป็นผู้ชี้แนะ สอนงาน ให้คำปรึกษาเพื่อมุ่งให้ความช่วยเหลือ แนะนำ ส่งเสริมครูและบุคลากร โดยใช้กระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เน้นไปที่การพัฒนาผลการปฏิบัติงานเพื่อที่จะทำให้ครูและบุคลากร เข้าใจวิธีการและแนวทางในการปฏิบัติงานและปฏิบัติตน รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากร ให้มีความรู้ทักษะและพฤติกรรมในการทำงานให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีความก้าวหน้าทางวิชาชีพ ประกอบด้วยทักษะ ดังนี้ 1) ทักษะการสร้างความไว้วางใจ 2) ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ 3) ทักษะการให้ข้อมูลป้อนกลับ 4) ทักษะการถาม และ 5) ทักษะการฟัง
เอกสารอ้างอิง
เฉลิมชัย พันธ์เลิศ. (2562). หลักสูตรฐานสมรรถนะกับการพัฒนาผู้เรียน. วารสารวิชาการ. 22 (1), 22-30.
ชาญชัย อาจินสมาจาร. (2551). ทักษะภาวะผู้นำ. กรุงเทพฯ : มัลติอินฟอร์เมชันเทคโนโลยี.
ธนา ธุศรีวรรณ. (2562). การพัฒนารูปแบบการชี้แนะเพื่อส่งเสริมทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูระดับมัธยมศึกษา. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น, 16(2), 535-547.
เพิ่มพูน พงษ์พวงเพชร. (2560). การพัฒนาระบบการสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยงสำหรับบุคลากรในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา. วิทยานิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและพัฒนาการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ไพศาล สุวรรณน้อย. (2559). การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Base Learning : PBL). Retrieved on March 25, 2022 from: https://ph.kku.ac.th/thai/images/file/km/pbl-he-58-1.pdf
วัชรา เล่าเรียนดี. (2556). ศาสตร์นิเทศการสอนและการโค้ชการพัฒนาวิชาชีพ : ทฤษฎีกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 12, มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วันซาวีลา เบ็ญลาเตะ. (2562). การพัฒนารูปแบบการสอนงานในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานภายใต้บริบทสามจังหวัดชายแดนภาคใต้. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
วิชัย วงษ์ใหญ่และมารุต พัฒนผล. (2557). การโค้ช เพื่อการรู้คิด (Cognitive Coaching). กรุงเทพฯ : จรัลสนิทวงศ์.
ศศิมา สุขสว่าง. (2562). การพัฒนานวัตกรรมโดยใช้ Design Thinking. Retrieved January 15, 2024, from: https://hcd-innovation.teachable.com/courses/author/290247.
ศิริรัตน์ ศิริวรรณ. (2557). การโค้ชเพื่อการพัฒนาผลงานที่ยอดเยี่ยม. กรุงเทพฯ: เอช อาร์ เซ็นเตอร์.
สมหมาย ปวะบุตร. (2563). การสร้างกระบวนการโค้ชด้วยหลักพุทธธรรมของครูพี่เลี้ยงในโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2. (2566). รายงานผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566. มหาสารคาม : กลุ่มนโยบายและแผน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2.
สำนักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์. (2562). การสอนงานบุคลากรด้วยระบบพี่เลี้ยง (Mentoring). สงขลา : ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ที่ 18 จังหวัดสงขลา สำนักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์.
สิราวิชญ์ วัชรกาฬ, ณรงค์ พิมสาร และ สิริกาญจน์ ธนวุฒพรพินิจ. (2562). รูปแบบการพัฒนาทักษะการโค้ชสาหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร. วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 14(2), 163-177.
สุวิมล ว่องวานิช. (2558). การวิจัยประเมินความต้องการจำเป็น. พิมพ์ครั้งที่ 3, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์. (2560). การพัฒนาสมรรถนะกลุ่มงาน HR บนแนวคิด 70:20:10 Learning model. กรุงเทพฯ : เดช อาร์ เซ็นเตอร์.
อุทิศ ดวงผาสุข, เฉลิมชัย กิตติศักดิ์นาวิน และนลินณัฐ ดีสวัสดิ์. (2560). การบริหารโดยการโค้ชเพื่อการพัฒนาองค์การ. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยธนบุรี. 11 (26), 135-136.
Boyce, L. A., Jeffrey Jackson, R., & Neal, L. J. (2010). Building successful leadership coaching relationships: examining the impact of matching criteria in a leadership coaching program. Journal of Management Development, 29(10), 914-931.
Cronbach, L.J. (1970). Essentials of Psychological Testing. 3rd edition. New York: Harper and Row.
European Mentoring & Coaching Council (2012). The International Journal of Mentoring and Coaching. https://www.emccglobal.org/wp-content/uploads/2018/02/33-1.pdf
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 Interdisciplinary Academic and Research Journal

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





