แนวคิดการฟื้นฟูภาวะถดถอยการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2024.278854คำสำคัญ:
การฟื้นฟู, การเรียนรู้, ดิจิทัลบทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: เทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการเรียนการสอน การฟื้นฟูภาวะถดถอยการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลมีความสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์และวิธีการที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขและปรับปรุงผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยอาศัยทฤษฎีการเรียนรู้และการสอนที่เน้นการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ด้วยการทำ ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดการฟื้นฟูภาวะถดถอยการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล
ระเบียบวิธีการศึกษา: การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์เอกสารทางวิชาการ การกำหนดเป้าหมายตามวัตถุประสงค์การศึกษา ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา และนำเสนอเชิงพรรณนาความ
ผลการศึกษา: แนวคิดการฟื้นฟูนี้จะมุ่งเน้นไปที่การประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนเพื่อระบุความต้องการเฉพาะบุคคลและปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความสามารถและความสนใจของนักเรียน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การเรียนรู้ออนไลน์ แพลตฟอร์มการสอนดิจิทัล และการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์จะช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ การฝึกอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อพัฒนาความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการสอนในยุคดิจิทัล และการสนับสนุนทางจิตวิทยาและสังคมแก่นักเรียนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะชีวิตและทักษะทางสังคมที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่หลากหลายและการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปผล: สรุปแนวคิดการฟื้นฟูภาวะถดถอยการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลจำเป็นต้องอาศัยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้และการสอนที่เหมาะสม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและการสนับสนุนจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักเรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและสามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เอกสารอ้างอิง
กิตติภัค อนันต์ปัญญา. (2564). การพัฒนาการเรียนรู้แบบอัตลักษณ์โดยใช้แอพพลิเคชั่นสร้างแบบทดสอบแบบสอบถาม. วารสารเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, 11(2), 45-55.
จุฑามาศ บุญเรือง. (2562). การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในชั้นเรียนภาษาไทย. มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์.
จุฑารัตน์ พิมพ์ไทยสง. (2560). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ชาญชัย เทพหัสดิน. (2561). การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าสู่การสอนเพื่อพัฒนาการคิดเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียน. วารสารวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ, 3(2), 56-69.
ณัฐพร พัฒนากุล .(2564). แนวทางการฟื้นฟูผลกระทบทางการศึกษาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.
ธีรวัฒน์ รัตนกุล. (2564). การส่งเสริมการเรียนรู้แบบเชิงกิจกรรมผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์. วารสารเทคโนโลยีการศึกษา, 5(1), 12-24.
นงลักษณ์ บุญมี .(2562). การส่งเสริมการเรียนรู้เชิงบวกผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการในชั้นเรียนประถมศึกษาปีที่ 6. มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร.
รัชพล ธนาวุฒิธรรม.(2565). เอกสารฉบับนี้เสนอแนวทางการออกแบบบทเรียนแบบผสมผสาน (Blended Learning). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์นายอินทร์.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2565). เอกสารฉบับนี้ศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบของโควิด-19 ต่อการเรียนรู้ของนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบภาวะถดถอยการเรียนรู้ในหลายวิชา โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3. เอกสารนำเสนอแนะแนวทางการแก้ไขและพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้. เว็บไซต์สถาบันส่งเสริมการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการศึกษา (สสวร.): http://www.ska2.go.th/reis/
สุรัตน์ รุ่งนิรันดร์. (2564). ผลของการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสังคมในการเรียนรู้และการสอนในสถานการณ์โควิด-19 ต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชินี.
สุรีย์ ทับทิม .(2564). การศึกษาประสิทธิภาพของโมเดลการจัดการชั้นเรียนแบบผสมผสานที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารต่อผลการเรียนรู้และเจตคติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 Interdisciplinary Academic and Research Journal

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





