การศึกษาผลสัมฤทธิ์และความคงทนในการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ โดยการจัดการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลับด้านของนักศึกษาปริญญาตรี สาขาวิชาเอกการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276926คำสำคัญ:
ห้องเรียนกลับด้าน; , ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน; , ความคงทนในการเรียนรู้บทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต่อนักศึกษา ช่วยพัฒนากระบวนการคิดเพื่อค้นหาคำตอบในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยอาศัยประสบการณ์และการฝึกปฏิบัติจริง สามารถเผชิญปัญหาและจัดการกับภาวะต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ โดยการจัด
การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคงทนในการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ หลังจากการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านทันทีและผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ โดยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน
ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาเอกการประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ที่ลงทะเบียนเรียนวิชา CEE2307 (CEE3201) ภาษาไทยสำหรับครูประถมศึกษา จำนวน 35 คน โดยใช้โปรแกรม G* Power โดยกำหนดค่าขนาดอิทธิพล (Effect Size) เท่ากับ 0.57 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างได้เท่ากับ 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนี้ คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test dependent (Mean One Sample Test)
ผลการวิจัย: พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังการจัดการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ โดยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการเปรียบเทียบ
ความคงทนในการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ หลังจากการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ความคงทนในการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ หลังการจัดการเรียนรู้ เมื่อผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ไม่แตกต่างจากหลังการจัดการเรียนรู้ทันทีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ โดยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน พบว่า ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ โดยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านเนื้อหาสาระการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการวัดและประเมินผลอยู่ในระดับมาก
สรุปผล การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านของนักศึกษาปริญญาตรี ส่งผลให้นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น มีความคงทนในการเรียนรู้หลักภาษา เรื่อง ชนิดของคำ และนักศึกษาได้พัฒนาทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการคิดขั้นสูง และทักษะสังคมที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
กนิษฐา ศรีอเนก. (2565). ความคงทนในการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือในรายวิชาระบบคอมพิวเตอร์และดิจิทัล. วารสารวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย, 12(1), 54-61.
กิตติพงษ์ พุ่มพวง และทิพรัตน์ สิทธิวงศ์. (2561). การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือสำหรับนิสิตระดับอุดมศึกษา. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร. 20(2), 1-11.
จริยา วิไธสง. (2555). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องการแจกลูกและสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะและการเรียนแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์.
จันทิมา ปัทมธรรมกุล. (2556). ทำความรู้จักกับ Flipped Classroom. Retrieved on 25 November 2023 from http://www.c4ed.kmutt.ac.th/q=flippedclassroom
ชนิสรา เมธภัทรหิรัญ. (2560). ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) กับการสอนคณิตศาสตร์. สสวท, 46(209), 20-22.
ดวงจินดา เย็นจะบก. (2550). ผลของการใช้กลวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อเพิ่มพูนความเข้าใจ ในการอ่านภาษาอังกฤษและความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์.
ทิศนา แขมมณี. (2560). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นภาไล ตาสาโรจน์. (2553). การเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและ ความคงทนในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างวิธีสอนโดยใช้ผังกราฟิกกับวิธีสอนตามครูมือครู. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
น้ำผึ้ง ยาฉ่ำ. (2550). ผลสัมฤทธิ์และความคงทนในการเรียนรู้การสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมในการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.
บุญชม ศรีสะอาด. (2554). การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
ปริยาภรณ์ ตั้งคุณานันต์. (2557). การจัดการห้องเรียนและแหล่งเรียนรู้. กรุงเทพฯ: มีน เซอร์วิส ซัพพลาย.
ปัญจลักษณ์ ถวาย. (2560). การศึกษาผลสัมฤทธิ์และความคงทนในการจําคําศัพท์ภาษาอังกฤษของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร. มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี.
พรพร โยธาวงษ์. (2561). ผลสัมฤทธิ์จากการเรียนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนแบบบรรยายในวิชาการจัดการฟาร์ม ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีฟาร์ม. วารสารปัญญาภิวัฒน์, 10, 252-261.
พันทิพา อมรฤทธิ์, ศรัญญา จุฬารี, ศุทธินี ศรีสวัสดิ์, และพงษ์ศักดิ์ วิทยาเกียรติ. (2564). การศึกษารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี.
พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2552). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 5. เฮ้าส์ ออฟ เคอร์มิสท์.
เพชร วิจิตรนาวิน. (2551). ผลของการใช้รูปแบบการเรียนรู้คำศัพท์ที่มีต่อความเข้าใจในการอ่านวรรณคดีและความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
มัณฑนา สุขสงค์. (2563). การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความและความคงทนในการเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น โดยการจัดกิจกรรมการอ่านแบบ DR-TA สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
เมธา อึ่งทอง, ผดุงชัย ภู่พัฒน์ และชิตพล มังคลากุล. (2561). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาหลักวิชาชีพครู. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยธนบุรี. 12, 82-92.
เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี. (2554). การวัดและการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
รัฐสภา แก่นแก้ว, ณรงค์ สมพงษ์ และณัฐพล รําไพ. (2563). การพัฒนารูปแบบห้องเรียนกลับด้านด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสรรค์ผลงานของนักศึกษาด้านนิเทศศาสตร์ในระดับปริญญาตรี. วารสารชุมชนวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. 14(2), 189-203.
รุ่งนภา นุตราวงศ์. (2557). ห้องเรียกลับด้าน (Flipped Classroom). วารสารวิชาการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, 17(1), 1-13.
ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. (2553). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครังที 11. สุวีริยาสาส์น.
วรวิทย์ ไชยวงศ์คต. (2551). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การคิดเชิงวิพากษ์และความคงทนในการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างการเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายที่มีรูปแบบการเรียนร่วมมือแบบแข่งขันระหว่างกลุ่มด้วยเกมกับการเรียนแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
วิจารณ์ พานิช. (2556). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. มูลนิธิสดศรี สกฤษดิ์วงศ์.
สุพินดา ณ มหาชัย. (2556). Flipped Classroom ห้องเรียนกลับด้าน สพฐ-ให้เรียนที่บ้านทำการบ้านที่ ร.ร. Retrieved on 12 November 2023 from: http://www.kornchadluek.net/detail/20130503/157502/FilppedClassroom
สุรศักดิ์ คำสง. (2562). ผลการใช้วิธีสอนแบบ SQ4R ที่มีต่อความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษและความคงทนในการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
สุรศักดิ์ ปาเฮ. (2556). ห้องเรียนกลับทาง: ห้องเรียนมิติใหม่ในศตวรรษที่ 21. Retrieved on 2 November 2023 from phd.mbuisc.ac.th/academic/flijpped%o20classroom2.pdf
อรนุช ศรีสะอาด. (2553). พื้นฐานวิจัยการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 6. ประสานการพิมพ์.
Bergmann, J., & Sams, A. (2012). Flip Your Classroom: Reach Every Student in Every Class Every Day. International Society for Technology in Education.
Bishop, J.L., & Verleger, M.A. (2013). The Flipped Classroom: A Survey of the Research. 120th American Society for Engineering Education Annual Conference and Exposition, 30, 1-18.
Butt, A. (2014). Student Views On The Use Of A Flipped Classroom Approach: Evidence From Australia, Business Education and Accreditation, The Institute for Business and Finance Research, 6(1), 33-43.
Dunn, J. (2014). The 6-step guide to flipping your classroom. Retrieved from https://medium.com/@jdunns4/the-6-step-guide-to-flipping-your-classroomd721878f85c1
Fulton, K. (2012) Upside Down and Inside Out: Flip Your Classroom to Improve Student Learning. Learning & Leading with Technology, 39, 12-17.
Gagne, R.M. (1977). The conditions of learning. 3rd Edition. New York: Holt, Rinehart, and Winston.
Good, C.V. (1973). Dictionary of Education. New York: McGraw-Hill book company.
Gronlund, N.E. (1993). How to Make Achievement Tests and Assessments. 5th Edition. Boston: Allyn and Bacon.
Herreid, C.F., & Schiller, N.A. (2013). Cade studies and the flipped classroom. Journal of College Science Teaching, 42(5), 62-66.
Johnson, L. (2013). Effect of the flipped classroom model on a secondary computer application course: Student and teacher perceptions, question and student achievement. Master’s thesis: University of Louisville.
Seery, M. K. (2015). Flipped learning in higher education chemistry: emerging trends and potential directions. Chemistry Education Research and Practice, 16(4), 758-768.
Strayer, J. (2012). The Effects of the Classroom Flip on the Learning Environment: A comparison of learning Activity in a Traditional Classroom and a Flip Classroom That Used an Intelligent Tutoring System. Doctoral dissertation: The Ohio State University.
Teng, F. (2016). The Effects of Context and Word Exposure Frequency on Incidental Vocabulary Acquisition and Retention Through Reading. The Language Learning Journal, 47(2), 145-158.
Tenneson, M., & McGlasson, B. (2006). The Classroom Flip, PowerPoint Resentation. Fontbonne University.
Thorndike, R.M. (1978). Correlation Procedures for Research. New York: Gardner Press.
Wang, X.-H., Wang, J.-P., Wen, F.-J., wang, J., & Tao, J.-Q. (2016). Exploration and Practice of Blended Teaching Model Based Flipped Classroom and SPOC in Higher University. Journal of Education and Practice, 7(10), 99-104.
Wehmeier. (2000). OXFORD Advanced Learner’s Dictionary. Sixth edition. OXFORD University Press.
Yeung, K., & O'Malley, P.J. (2014). Making 'The Flip' Work: Barriers to and Implementation Strategies for Introducing Flipped Teaching Methods into Traditional Higher Education Courses. New Directions, 10(1), 59-63.
Zhou, G., & Jiang. X. (2014). Theoretical research and instructional design of the Flipped classroom. Applied Mechanics & Materials. 543-547, 4312-4315. https://doi.org/10.4028/www.scientific.net/AMM.543-547.4312
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 Interdisciplinary Academic and Research Journal

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





