โมเดลประสิทธิผลการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2024.272718คำสำคัญ:
รูปแบบ; , ประสิทธิผล; , การบริหารจัดการ; , มหาวิทยาลัยราชภัฏบทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: มหาวิทยาลัยราชภัฏยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมวิจัยที่เน้นการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่ตั้ง ทำให้มีการพัฒนาและนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคมในพื้นที่นั้น มหาวิทยาลัยราชภัฏมีส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างการศึกษาและอุตสาหกรรม และเป็นแหล่งเสริมสร้างความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานในพื้นที่นั้น ทำให้มหาวิทยาลัยราชภัฏมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นและเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ตั้ง ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (3) เพื่อสร้างและยืนยันโมเดลประสิทธิผลการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือบุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย 11 จังหวัด จำนวน 450 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่าของ 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติที่ใช้คือ SEM โดยใช้โปรแกรม M-Plus ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้บริหาร, สายวิชาการและสายสนับสนุนสถาบันอุดมศึกษา จำนวน 15 คน คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายโดยวิธีการแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เก็บข้อมูลโดยใช้วิธีการจัดประชุมระดมความคิดเห็น (Focus Group Discussion) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเชิงการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย: (1) ประสิทธิผลการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยรวมอยู่ในระดับมาก จำแนกเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากที่สุดคือการเรียนการสอน อยู่ในระดับมากได้แก่ การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และ การบริการวิชาการ และอยู่ในระดับปานกลางคือการวิจัย (2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ตัวแปรที่มีอิทธิพลทางตรงได้แก่ ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ, ปัจจัยด้านการจูงใจ,ปัจจัยด้านการติดต่อสื่อสาร, ปัจจัยด้านวัฒนธรรมองค์การ, ปัจจัยด้านการพัฒนาบุคลากร, ปัจจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และ ปัจจัยด้านการทำงานเป็นทีม ส่วนตัวแปรที่มีอิทธิทางอ้อม ได้แก่ ด้านการเรียนการสอน, ด้านวิจัย, ด้านบริการวิชาการ, ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งตัวแปรเหล่านี้สามารถร่วมกันอธิบายความผันแปรของประสิทธิผลการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏ ได้อย่าง ร้อยละ 98.50 (EFF; R2 = 0.985) และผลการทดสอบความกลมกลืน พบว่า ได้ค่า ( 2/ df) มีค่าเท่ากับ 1.714 ซึ่งมีค่า > 2.00 ,มีค่า CFI เท่ากับ 0.995 , TLI เท่ากับ 0.981 , มีค่า RMSEA เท่ากับ 0.047 , มีค่า SRMR เท่ากับ 0.043 ซึ่งมีความกลมกลืนสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (3) โมเดลประสิทธิผลการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งผ่านการประเมินแล้ว ประกอบด้วย (3.1) ปัจจัยบุคลากร ได้แก่ 1) มีผู้นำที่มีศักยภาพในการบริหารงานองค์การ 2) มีการจูงใจบุคลากรในการปฏิบัติงาน 3) มีการอำนวยความสะดวกในการทำงานเป็นทีม4) บุคลากรมีความรู้ ความสามารถในตำแหน่งงานนั้น 5) มีการสนับสนุนบุคลากรอย่างทั่วถึงในทุกๆด้าน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน (3.2) ปัจจัยองค์การ ได้แก่ 1) จัดให้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยรองรับการศึกษาในยุคดิจิทัล 2) มีระบบโครงข่ายการติดต่อสื่อสารที่มีคุณภาพ 3) มีการสร้างวัฒนธรรมองค์การที่สร้างบรรยากาศเหมาะสมต่อการปฏิบัติงาน 4) มีการพัฒนาเป็นองค์การดิจิทัล 5) องค์การที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ (3.3) ปัจจัยระบบการจัดการ ได้แก่ 1) สนับสนุนทุนในการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น 2) มีการบริหารจัดการงบประมาณอย่างเหมาะสม 3) มีการจัดการวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมต่อการใช้งาน 4) มีความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน 5) มีการจัดสวัสดิการให้แก่บุคลากรอย่างเหมาะสม
สรุปผล: มหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีประสิทธิภาพสูงในการบริหารจัดการโดยรวม โดยเฉพาะด้านการสอน การอนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรม และบริการวิชาการ ปัจจัยที่ระบุที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลนี้ รวมถึงตัวแปรทั้งทางตรงและทางอ้อม เน้นย้ำถึงความสำคัญของความเป็นผู้นำ แรงจูงใจ การสื่อสาร วัฒนธรรมองค์กร และระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ โมเดลที่ครอบคลุมให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพ เน้นคุณภาพความเป็นผู้นำ การสนับสนุนทางเทคโนโลยี เครือข่ายการสื่อสาร การปรับตัวขององค์กร และการจัดการทรัพยากรอย่างรอบคอบ การตรวจสอบความถูกต้องทางสถิติของแบบจำลองจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแนวทางการจัดการในมหาวิทยาลัย
เอกสารอ้างอิง
กองนโยบายและแผน มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.(2566). แผนยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฎ. มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.
ฉัตรณรงค์ศักดิ์ สุธรรมดี.(2558).แนวทางนโยบายการพัฒนาขีดสมรรถนะบุคลากรสายวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย.วิทยานิพนธรัฐประศาสนศาตรดุษฎีบัณฑิต.คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์.มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
ชูศรี วงศ์รัตนะ. (2560). เทคนิคการใช้สถิติเพื่อการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 13. กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ์.
นิรัช สุดสังข์. (2559). ระเบียบวิธีวิจัยทางการออกแบบ. กรุงเทพฯ:โอเอสพริ้นติ้งเฮาส์.
ปราณี สาไพรวัน. (2558). ปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลองค์การของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต:มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
สรคุปต์ บุญเกษม, สันติศักดิ์ กองสุทธิ์ใจ, และวินัย รังสินันท์.(2560). ปัจจัยการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อประสิทธิผลโรงเรียนขนาดเล็ก ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดนครสวรรค์. Humanities and Social Sciences Journal of Pibulsongkram Rajabhat University, 11(1), 217–230. Retrieved from https://so01.tci-thaijo.org/index.php/GraduatePSRU/article/view/79721
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. (2556). คู่มือเทคนิคและวิธีการบริหารจัดการสมัยใหม่ตามแนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ.
Comrey, A.L., & Lee, H.B. (1992). A First Course in Factor Analysis. 2nd edition. Hillsdale, NJ: Lawrence Erlbaum.
Hair, J., &et al. (2010). Multivariate data analysis. 7th edition. Upper Saddle River, New Jersey: Pearson Education International.
Likert, R. (1967). The Method of Constructing and Attitude Scale, Reading in Attitude Theory and Measurement. P.90-95. Fishbeic, Matin, Ed. New York: Wiley & Son
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 Thanikarn Srichan, Saovalak Kosonkittiumporn, Pakdee Phosing

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





