การพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการช่วยเหลือบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ สำหรับบุคลากรและผู้ปกครอง ศูนย์การศึกษาพิเศษ
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2024.272468คำสำคัญ:
หลักสูตรฝึกอบรม; , บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ; , ศูนย์การศึกษาพิเศษบทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ เกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการศึกษาเพื่อคนพิการและผู้ด้อยโอกาสการเสริมสร้างประสิทธิภาพใน การให้บริการทางการศึกษา และการฝึกอบรมเพื่อคนพิการและผู้ด้อยโอกาสสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน สภาพปัญหาและความต้องการในการฝึกอบรมฯ 2) พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมฯ 3) ทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรมฯ และ 4) ประเมินหลักสูตรฝึกอบรมฯ
ระเบียบวิธีวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรและผู้ปกครองศูนย์การศึกษาพิเศษ จำนวน 222 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย กลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้ให้ข้อมูลที่ใช้ในการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองใช้หลักสูตร คือ บุคลากรและผู้ปกครอง จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความสอดคล้อง ความเหมาะสม แบบทดสอบ แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (One-Samples t-test)
ผลการศึกษา: (1) สภาพปัจจุบันการเสริมสร้างความสามารถในการช่วยเหลือบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และความต้องการการเสริมสร้างความสามารถในการช่วยเหลือบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (2) ผลการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการช่วยเหลือบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ พบว่า หลักสูตรฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบทั้งหมด 6 องค์ประกอบดังนี้ 1) หลักการของหลักสูตร 2) วัตถุประสงค์ของหลักสูตร 3) เนื้อหาสาระ 4) กิจกรรมการฝึกอบรม 5) สื่อและแหล่งเรียนรู้ 6) การวัดและประเมินผล และหลักสูตรฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้น โดยรวมมีความสอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า มีความสอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุดทุกข้อ และมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน (3) ผลการทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรม ที่พัฒนาขึ้น พบว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความสามารถในการช่วยเหลือบุคคลที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ หลังการฝึกอบรมมีคะแนนเฉลี่ย 55.10 จากคะแนนเต็ม 60 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 91.83 และเมื่อเปรียบเทียบมีคะแนนทดสอบหลังการฝึกอบรมกับเกณฑ์ร้อยละ 80 พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยหลังการฝึกอบรมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ มีความคิดเห็นโดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความคิดเห็นต่อการฝึกอบรมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน เช่นกัน (4) ผลการประเมินหลักสูตรฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้น พบว่า ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ พบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านบริบท ด้านปัจจัยเบื้องต้น ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต โดยรวมทุกด้าน
สรุปผล: ผลวิจัยระบุว่าหลักสูตรเพิ่มความสามารถในการช่วยเหลือบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความสอดคล้องและเหมาะสมในทุกด้านของหลักสูตร ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมีคะแนนสูงและอยู่ในระดับมากทั้งด้านหลังการประเมินหลักสูตรฝึกอบรม
เอกสารอ้างอิง
ทิศนา แขมมณี, (2545). รูปแบบการเรียนการสอน: ทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธำรง บัวศรี. (2552). ทฤษฎีหลักสูตร: การออกแบบหลักสูตรและการพัฒนา. กรุงเทพฯ: ธนรัช.
นิรมล ศตวุฒิ. (2543). การพัฒนาหลักสูตร. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
บุญชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: สุวิริยาสาส์น.
พัฒนา สุขประเสริฐ. (2543). กลยุทธในการฝึกอบรม. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
สงัด อุทรานันท์. (2532). พื้นฐานและหลักการพัฒนาหลักสูตร. กรุงเทพฯ: วงเดือนการพิมพ์.
สงัด อุทรานันท์. (2545). การนิเทศการสอน : หลักการ ทฤษฎีและปฏิบัติ.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มิตรสยาม.
สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ. (2553). สารสนเทศสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ. Retrieved on November 15, 2022, from: http://special.obec.go.th
สิทธิพล อาจอินทร์. (2563). การพัฒนาหลักสูตร. พิมพ์ครั้งที่ 5. ขอนแก่น: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
สุมิตร คุณากร, (2550). หลักสูตรและการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์.
สุวิมล ว่องวานิช, (2548). กลยุทธ์ทางเลือกเพื่อพัฒนาวัฒนธรรมและสมรรถภาพการวิจัย และประเมินของครูมืออาชีพในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ในการขับเคลื่อนสู่โรงเรียนฐานความรู้ : การวิจัยประเมินความต้องการจำเป็นแบบสมบูรณ์. คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Oliva, P.F. (1992). Developing the Curriculum. 3rd edition. New York: Harper Collins.
Saylor, J.G., & Alexander, W.M. (1974). Planning Curriculum for School. New York: Holt, Rinehart, and Winston.
Saylor, J.G., Alexander, W.M., & Lewis, A.J. (1981). Curriculum planning for better teaching and learning. New York: Holt, Rinehart and Winston
Taba, H. (1962). Curriculum development: Theory and practice. New York: Harcourt, Brace & World.
Tyler, R. W. (1949). Basic principles of curriculum and instruction. Chicago: University of Chicago Press.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 Jassada Veangpol, Nattachai Jantachum, Tipaporn Sujaree

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





