การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
DOI:
https://doi.org/10.14456/iarj.2023.269คำสำคัญ:
สะเต็มศึกษา, , ความคิดสร้างสรรค์, , ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, , เจตคติต่อวิทยาศาสตร์บทคัดย่อ
ในศตวรรษที่ 21 เป็นยุคแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด นักเรียนจึงต้องได้รับการพัฒนาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ มีความเข้าใจและสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างสร้างสรรค์ ดังนั้นการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง พลังงานความร้อน 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและ หลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง พลังงานความร้อน 3) เพื่อศึกษาเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง พลังงานความร้อน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุกูลนารี จำนวน 42 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบยกกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง พลังงานความร้อน จำนวน 1 แผน 2) แบบทดสอบวัดความความคิดสร้างสรรค์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และและสถิติทดสอบค่าที (Dependent-Samples t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์หลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา อยู่ในระดับมาก
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์. กรุงเทพฯ: สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด.
จุฑาภรณ์ มาสันเทียะ.(2562). การพัฒนาแบบวัดเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. วารสารสุทธิปริทัศน์, 33(108), 39-50.
ทิพธัญญา ดวงศรี. (2560). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนในรายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
ปรียา โคตรสาลี. (2562). การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง สารในชีวิตประจำวัน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาร่วมกับผังกราฟิก. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
ปัญจนาฏ วรวัฒนชัย. (2563). การจัดบรรยากาศชั้นเรียนเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์. วารสารครุศาสตร์สาร, 14(1), 271-294.
พลศักดิ์ แสงพรมศรี. (2558). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ และเจตคติต่อการเรียนวิชาเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษากับแบบปกติ. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 9(ฉบับพิเศษ), 410-411.
พันธ์ ทองชุมนุม. 2547. การสอนวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
ภัทราวดี เอี่ยมพงษ์ และทนิตตา ชัยโชติ. (2564). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการสร้างแบบจำลองรายวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องแสงโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานตามแนวทางสะเต็มศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 วิทยาลัยนาฎศิลปะ. วารสารวิชาการครุศาสตร์สวนสุนันทา, 5(1), 6-7.
ภัสสร ติดมา, มลิวรรณ นาคขุนทด และสิรินภา กิจเกื้อกูล (2558). การจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEM Education เรื่องระบบของร่างกายมนุษย์ เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารราชพฤกษ์, 13(3), 71-76.
รสสุคนธ์ อินทฤากูร สวัสดิ์วงศ์ชัย, ถาดทอง ปานศุภวัชร และนิติธาร ชูทรัพย์. (2562). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาร่วมกับการใช้ผังมโนทัศน์ เรื่อง แรงและความดันของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, 11(30), 85-94.
โรงเรียนอนุกูลนารี. (2565). ระบบ ปพ.ออนไลน์ปีการศึกษา 2565. Retrieved from: https://toschool.in/anr/
วิจารณ์ พานิช, (2558). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่21. วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้, 1(2), 1-14.
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ. (2565). ค่าสถิติพื้นฐานระดับประเทศ ของผลการทดสอบ O-NET ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. Retrieved from: https://data.go.th/dataset/it-16-23.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2557). สะเต็ม.กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2558). หลักสูตรอบรมศึกษานิเทศก์. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2545). รายงานการประเมินผลการปฏิรูปการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ.
สำนักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2561). มาตรฐานการศึกษาของชาติ. กรุงเทพฯ: 21 เซ็นจูลี่ จำกัด.
สิรินภา กิจเกื้อกูล. (2558). สะเต็มศึกษา. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 17(2), 201-207.
อมลวรรณ วีระธรรมโม. (2557). การศึกษาเพื่อการเตรียมเยาวชนสู่อาเซียน. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, 14(2), 24-31.
Bloom, B. S., Englehart, M., Furst, E., Hill, W., & Krathwohl, D. (1956). Taxonomy of Educational Objectives Handbook I: The Cognitive Domain. New York: David McKay CoInc.
Joyce, B., & Weil, M. (1996). Model of Teaching. 5th edition. Boston: Allyn and Bacon.
Norwich, B., & Duncan, J. (1990). Attitudes, Subjective Norm, Perceived Preventive Factors, Intentions, and Learning Science: Testing a Modified Theory of Reasoned Action. British Journal of Educational Psychology, 60(3), 312-321.
Shah, Z.A., & Mahmood, N. (2011). Developing a Scale to Measure Attitude towards Science Learning Among School Students. Bulletin of Education and Research, 33(1), 71–81.
Torrance, E P. (1963). Education and The Creative Potential. Minneapolis: The Lund Press.
Torrance, E.P. (1973). Encouraging Creative in the Classroom. Iowa: C. Brown.
Tseng, K, Chang, C., Lou, S., & Chen, W. (2011). Attitudes toward Science, Technology, Engineering, and Mathematics (STEM) in a Project-Based Learning (PBL) Environment. International Journal of Science and Mathematics Education, 23(1), 87-102.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 Jintana Boasupee, Panwilai Dokmai

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





