การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการภาค 12

ผู้แต่ง

  • แววตา ไชยขันธ์ นักศึกษาปริญญาเอกปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0002-2531-911X
  • วิมลมาศ ปฐมวณิชกุล คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0001-5217-5601
  • พงศ์ธร โพธิ์พูลศักดิ์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0002-3635-5191

DOI:

https://doi.org/10.14456/iarj.2022.169

คำสำคัญ:

รูปแบบการจัดการศึกษา; , การศึกษาแบบเรียนรวม; , โรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการภาค 12

บทคัดย่อ

การจัดการเรียนรวมในประเทศไทยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ และเพิ่งจะได้รับความสนใจในวงการศึกษาเป็นอย่างมากในช่วงปฏิรูปการศึกษา โดยเฉพาะหลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ดังนั้น การจัดการเรียนรวมในโรงเรียนจึงเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวในการปฏิรูปการศึกษาในอดีต เด็กที่มีความต้องการพิเศษในประเทศไทยส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาในโรงเรียนพิเศษสำหรับความพิการเฉพาะด้าน ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการ ภาค 12 (2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการภาค 12 และ (3) เพื่อประเมินการใช้รูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการภาค 12 โดยมีขั้นตอนการวิจัย 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์องค์ประกอบของการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการ ภาค 12 โดยศึกษาเอกสาร สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 9 คน เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 36 โรงเรียน จำนวน 108 คน เครื่องมือที่ใช้ คือแบบบันทึกผลการวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม ที่มีค่าความเที่ยง เท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ คือ การวิเคราะห์เนื้อหา ความถี่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการภาค 12 โดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ คือร่างรูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการภาค 12 และเอกสารประกอบการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ สถิติที่ใช้คือ การวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 3 การประเมินการใช้รูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการภาค 12 เก็บข้อมูลจากผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ คือแบบประเมินรูปแบบ สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า (1) องค์ประกอบของการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการ ภาค 12 มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การบริหารจัดการ, การบริหารและจัดการสภาพแวดล้อม, การจัดการเรียนรู้, การสร้างความร่วมมือ (2) รูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการภาค 12 ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนนำ เนื้อหา กระบวนการการจัดการศึกษา และ เงื่อนไขความสำเร็จ และ (3) การประเมินการใช้รูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการภาค 12 จำนวน 4 ด้าน ด้านความถูกต้อง ด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ และด้านความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2553. กรุงเทพฯ: สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ.

กองทุนรัฐวัฒน์ตันมณีเพื่อสิทธิคนออทิสติก. (2548). เทคนิคการสอนเชิง. [Online] http://www.autisticthailand.com/ modhav.htm [13 สิงหาคม 2565]

ญาณวรุตม์ ติระพัฒน์, มัทนา วังถนอมศักดิ์และ วรกาญจน์ สุขสดเขียว. (2565).การจัดการเรียนรวมของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. Journal of MCU Ubon Review. 7 (2), 525-540.

ไพศาล วรคํา. (2555). การวิจัยทางการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่5). มหาสารคาม: ตักสิลาการพิมพ์.

รจเรข พยอมแย้ม. (2553). การบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมสำหรับเด็กพิการในโรงเรียนปกติ. การค้นคว้าอิสระศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาการบริหารการศึกษา) มหาวิทยาลัยศิลปากร) .

ระริน สุรวัฒนานันท์. (2542). การจัดการศึกษาสำหรับเด็กออทิสติกระดับก่อนประถมศึกษา : กรณีศึกษาโรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

วันชัย จันทการกุล. (2560). วิธีการสอนในชั้นเรียนรวมสำหรับนักเรียนที่มีภาวะออทิสซึม. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 20 (2), 1-8.

ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร. (2553). รูปแบบการพัฒนาประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ ในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. 3(6), 13-33.

ศิรินทิพย์ แสงทองพิทักษ์. (2557). รูปแบบการจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้ของโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วม: กรณีศึกษาโรงเรียนนาเชือกพิทยาสรรค์. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร มหาบัณฑิต (สาขาวิชาการบริหารการศึกษา) มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, มหาสารคาม.

สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2543). แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : พริกหวานกราฟิค.

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.(2550). การจัดการศึกษาพิเศษเพื่อเด็กพิการและเด็กด้อยโอกาส ปีงบประมาณ 2551. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.

สุชาดา บุบผา. (2557). ตำราการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education). คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี.

สุนิสา สกุลเกื้อกุล, หยกแก้ว กมลวรเดช และ สุกัญญา รุจิเมธาภาส. (2563). รูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมสำหรับสถานศึกษา ในจังหวัดน่าน.วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์. 7 (8), 363-380.

สุภาพร ชินชัย. (2550). หลักเบื้องต้นทางกิจกรรมบําบัด. ภาควิชากิจกรรมบําบัด คณะเทคนิคการแพทย์, เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

สุภาวดี วิสุวรรณ. (2559).การศึกษาผลการเรียนรู้ของนักศึกษาเรียนรายวิชาการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม เรื่อง เทคนิคการสอนในชั้นเรียนรวมและการจัดการพฤติกรรมในชั้นเรียนรวม จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับผังความคิด. วารสารชุมชนวิจัย. 10 (1), 29-34.

อุทุมพร แววศรี. (2544). การดำเนินงานด้านการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาใน สังกัดเทศบาลนครปฐม. วิทยานิพนธปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต (สาขานโยบายสาธารณะ) มหาวิทยาลัยบูรพา.

Eisner. E. (1976). Educational connoisseurship and criticism: Their form and functions in education evaluation. The Journal of Aesthetic Education. 10(3), 135.

Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610.

Strain, P.S., Wolery, M., & Izeman, S. (1998). Considerations for administrators in the decision of service options for young children with autism and their families. Young Exceptional Children, 1(2), 8-16.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2022-12-22

รูปแบบการอ้างอิง

ไชยขันธ์ แ. ., ปฐมวณิชกุล ว. ., & โพธิ์พูลศักดิ์ พ. . (2022). การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนในสังกัดศึกษาธิการภาค 12. Interdisciplinary Academic and Research Journal, 2(6), 645–670. https://doi.org/10.14456/iarj.2022.169

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิชาการ