แนวทางการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1
DOI:
https://doi.org/10.14456/iarj.2022.133คำสำคัญ:
องค์การแห่งการเรียนรู้; , ผู้บริหารสถานศึกษา; , แนวทางการพัฒนาบทคัดย่อ
องค์การแห่งการเรียนรู้ เป็นองค์การที่ทำงานผลิตผลงานไปพร้อมกับการเรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์และสร้างความรู้ในการทำงาน พัฒนาวิธีการ ระบบการทำงานไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เกิดการเป็นองค์การเรียนรู้ที่ต้องอาศัยต้นทุนมนุษย์เป็นผู้สร้างให้เกิดคุณภาพในการบริหารจัดการของสถานศึกษา จึงทำให้มีการพัฒนาให้เกิดเป็นองค์การที่มีประสิทธิภาพ บุคลากรสามารถเรียนรู้ เกิดการพัฒนาในทุกมิติ โดยการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ร้อยเอ็ด เขต 1 (2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ร้อยเอ็ด เขต 1 โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 จำนวน 38 คน และครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 จำนวน 282 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 320 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถาม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.80-1.00 มีค่าความเชื่อมั่น 0.97 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.31-0.80 ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ร้อยเอ็ด เขต 1 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ขององค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง และมากที่สุด ตามลำดับ และเรียงลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปน้อยขององค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาจากค่า PNI คือ การเรียนรู้เป็นทีม การเป็นบุคคลรอบรู้ การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน การมีแบบแผนทางความคิด และการคิดเชิงระบบ ตามลำดับ (2) แนวทางการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาพบแนวทางการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ 22 แนวทางและผลการประเมินความเป็นไปได้ของและความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2542).พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2557).นโยบายสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา.
กัญญารัตน์ สะวิสัย (2557). พฤติกรรมการบริหารองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
จิรัชฌา วิเชียรปัญญา. (2557). การจัดการเนื้อหาสินทรัพย์ดิจิทัล: ความท้าทายขององค์กรในยุคเศรษฐกิจฐานความรู้. รังสิตสารสนเทศ, 20 (2), 96-110.
นภาพร หัสไทรทอง. (2562). แนวทางการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.
บุญชม ศรีสะอาด. (2554). หลักการวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 9. สุวิริยาสาส์น.
บุญชม ศรีสะอาด. (2556). วิธีการทางสถิติสำหรับการวิจัย เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 5. วีริยาสาส์น.
ไพลิน บุญนา (2559).ลักษณะความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณี.
มาร์ควอดต์,ไมเคิล เจ. (2549).การพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้.แปลจาก Building the learning organization : mastering the 5 elements for corporate learning. โดย บดินท์ วิจารณ์. กรุงเทพฯ : เอ็กซเปอร์เน็ท.
รวมพร ทองรัศมี และคณะ. (2557). รูปแบบการบริหารจัดการเพื่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, 9 (3), 169-179.
วิจารณ์ พานิช. (2550). วิถีแห่งองค์กรอัจฉริยะ.จุลสารอุตสาหกรรมสัมพันธ์. 73. 2-3.
ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์. (2554). การบริหารเพื่อการเรียนรู่. กรุงเทพ : พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2546). คู่มือการปฏิบัติงานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุ.
สุวิมล ว่องวาณิช. (2558). การวิจัยประเมินความต้องการจำเป็น. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Krejcie, R.V. and Morgan, D.W., (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30, 607-610.
Marquardt, M. J. & Reynolds, A. (1994). The Global Learning Organization. New York: IRWIN.
Senge, M. (1990). The Fifth Discipline: The art and practice of the learning organization. New York: Doubleday.
Senge, M. (2006). The fifth discipline: The art and practice of the learning organization. 2nd edition, London: Random House Business.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 ชานันท์ ข่าขันมะลี, จำเนียร พลหาญ

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





