การนำหลักพุทธธรรมาภิบาลไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด

ผู้แต่ง

  • พระครูปริยัติวรเมธี ทิพย์มณี หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (รัฐศาสตร์), มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://orcid.org/0000-0002-5415-4019
  • เติมศักดิ์ ทองอินทร์ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (รัฐศาสตร์), มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://orcid.org/0000-0003-4504-6873
  • สุรพล สุยะพรหม หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (รัฐศาสตร์), มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://orcid.org/0000-0002-4006-4311

DOI:

https://doi.org/10.14456/iarj.2022.123

คำสำคัญ:

พุทธธรรมาภิบาล; , การส่งเสริม; , การมีส่วนร่วมทางการเมือง

บทคัดย่อ

การมีส่วนร่วมทางการเมืองถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการขับเคลื่อนระบอบประชาธิปไตยให้ไปสู่แก่นแท้ของระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยได้มากขึ้น ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด (3) เพื่อเสนอรูปแบบการนำหลักพุทธธรรมาภิบาลไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด รูปแบบการวิจัยนี้เป็นแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาและการสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 8 รูปหรือคน และการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.943 เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง อายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไปในจังหวัดร้อยเอ็ดทั้ง 7 เขตการเลือกตั้ง จำนวน 400 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพทั่วไปของการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด ด้านสภาพแวดล้อมของชุมชน ประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ดมีส่วนร่วมทางการเมืองแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับการสังเกตการณ์ทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเข้าหุ้นส่วนทางการเมือง ด้านจิตวิทยาทางการเมือง การมีความสนใจทางด้านการเมืองมากทำให้ผู้คนเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองดียิ่งขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนาการเมืองได้เร็วขึ้นถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างยิ่ง ด้านการประยุกต์หลักธรรมอปริหานิยธรรม 7 การส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ดนั้น การหมั่นประชุมกันก่อให้เกิดการสื่อสาร การแสดงออกและสร้างความเข้าใจและการยอมรับต่อกัน กำหนดกฎเกณฑ์เป็นระเบียบเป็นแนวทางเดียวกันจะทำให้เกิดความมีส่วนร่วมในทางการเมืองได้เพราะมีความเป็นประชาธิปไตยและสามารถสำเร็จได้ตามเป้าหมายในการดำเนินกิจกรรม (2) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) ระหว่างชุดของปัจจัยหรือตัวพยากรณ์กับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด มีค่าเท่ากับ 0.174 และค่าสัมประสิทธิ์ของการพยากรณ์ (R2) เท่ากับ 0.30 แสดงว่าชุดของตัวพยากรณ์ สามารถพยากรณ์การส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด ได้ร้อยละ 30.00 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (มีความเชื่อมั่น 95%) และมีค่ามาตรฐานการทำนายที่วิเคราะห์ได้อยู่ที่ระดับ 2.063 ซึ่งเป็นค่าที่ยอมรับได้ แสดงว่าตัวแปรพยากรณ์ทั้ง 14 ปัจจัยไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันแต่อย่างใด ซึ่งเป็นค่าที่ยอมรับได้ (3) รูปแบบการนำหลักพุทธธรรมาภิบาลไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด พบว่า ประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ดมีส่วนร่วมทางการเมืองแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ (3.1) ระดับการสังเกตการณ์ทางการเมือง (3.2) การมีส่วนร่วมทางการเมือง และ (3.3) การเข้าหุ้นส่วนทางการเมือง และรูปแบบการนำหลักพุทธธรรมาภิบาลไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ดสามารถแบ่งการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด ประกอบด้วยการส่งเสริมใน 3 ภาคส่วนคือ อันดับแรกในภาคส่วนระดับปัจเจกบุคล อันดับที่สองคือ ภาคส่วนองค์กรในระดับท้องถิ่นหรือระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้อง และภาคส่วนระดับที่สามารถกำหนดนโยบายหรือระดับรัฐบาลกลางหรือหน่วยงานกลางที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย

เอกสารอ้างอิง

ณรงค์ พึ่งพานิช.(2562). การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก. วารสารวิชาการสถาบันการจัดการแห่งแปซิฟิค สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค. 5(1),170–183.

ถวิลวดี บุรีกุล และคณะ.(2551). ระบบการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมระดับจังหวัด : ทำอย่างไรให้เป็นจริง. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า.

ธานินทร์ ศิลป์จารุ.(2549). การวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วย SPSS.กรุงเทพฯ : บริษัท วีอินเตอร์ พริ้นท์.

นิยม เวชกามา.(2562). รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนชาวสกลนครตามแนวพุทธจิตวิทยา. ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธจิตวิทยา : มหาวิทยามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

พระมหาเอกกวิน ปิยวีโร (อะซิ่ม).(2564). การนำหลักพุทธธรรมาภิบาลไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช. ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์ : มหาวิทยามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

ภูริวัจน์ ปุณยวุฒิปรีดา. (2563). การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน: แนวคิด หลักการและการส่งเสริม. วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ. 5 (2), 384-400.

สุลักษณ์ ศิวลักษ์. (2554). กระแสใหม่ของวิถีชีวิต เสรีภาพ และวัฒนธรรม ใน 5 ทศวรรษที่พ้นผ่าน. กรุงเทพฯ : ศึกษิตสยาม

สนุก สิงห์มาตร และ สัญญา เคณาภูมิ.(2558). ประชาธิปไตยกินได้: ของจริงหรือแค่วาทกรรมการเมือง. วารสารวิจัยเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. 2 (2), 91-107.

สำนักงานสถิติ จังหวัดร้อยเอ็ด.(2564). จำนวนประชากรจังหวัดร้อยเอ็ด.[Online]. แหล่งที่มา: http://roiet.nso.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=669:2--2563---2562&catid=116&Itemid=607.

อรนุช โจมจตุรงค์.(2549). การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยบูรพา

อารีย์วรรณ พูลทรัพย์.(2554). การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

Yamane, T. (1973). Statistics: An Introductory Analysis. 3rd Edition. New York: Harper and Row Publications.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2022-10-20

รูปแบบการอ้างอิง

ทิพย์มณี พ., ทองอินทร์ เ. ., & สุยะพรหม ส. . (2022). การนำหลักพุทธธรรมาภิบาลไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด. Interdisciplinary Academic and Research Journal, 2(5), 755–770. https://doi.org/10.14456/iarj.2022.123

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิชาการ