การพัฒนาองค์ประกอบความสุขของโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์

ผู้แต่ง

  • เกวลิน งามพิริยกร สถาบันวิจัย พัฒนา และสาธิตการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://orcid.org/0000-0001-7102-5553
  • ณัฐพล ธรรมมาวิวัฒน์ สถาบันวิจัย พัฒนา และสาธิตการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://orcid.org/0000-0002-0359-9720
  • วัฒนชัย ขวาลำธาร สถาบันวิจัย พัฒนา และสาธิตการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://orcid.org/0000-0002-1349-0788

DOI:

https://doi.org/10.14456/iarj.2022.107

คำสำคัญ:

การพัฒนา; , ความสุข; , โรงเรียนสาธิต; , มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

บทคัดย่อ

ความสุขในสถานศึกษาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการที่ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ การตระหนักรู้ถึงคุณค่าในตนเอง และเกิดพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่ส่งผลให้ความสุขในสถานศึกษาลดลง ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาองค์ประกอบความสุขของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี เริ่มจากการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลกับผู้ให้ข้อมูล 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) ผู้บริหาร 5 ราย (2) อาจารย์ 10 ราย (3) นักเรียน 10 ราย และ (4) ผู้ปกครอง 5 ราย ใช้วิธีการสัมภาษณ์ผ่านแนวทางการสัมภาษณ์แตกต่างกันตามความเหมาะสมของกลุ่มเป้าหมาย ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา เพื่อหาองค์ประกอบความสุข จากนั้นดำเนินการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลกับบุคลากรทั้งหมด แบ่งเป็น 2 กลุ่มงาน ได้แก่ (1) สายปฏิบัติการ และ (2) สายวิชาการ รวมทั้งหมดจำนวน 89 ราย ด้วยแบบสอบถามที่ผ่านการทดสอบความเชื่อมั่นจากผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นใช้การวิเคราะห์ข้อมูลระดับตัวแปรเดียวด้วยสถิติพรรณนา และการวิเคราะห์ข้อมูลระดับหลายตัวแปรด้วยสถิติถดถอยพหุคูณ รูปแบบพหุระดับ เพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัย ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒ องครักษ์ มี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) สุขภาพอนามัยดี (2) เกื้อกูลสังคม (3) สร้างความสนุก ผ่อนคลาย (4) โอกาสพัฒนาศักยภาพ (5) รู้จักใช้เงิน (6) อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว และ (7) ความเชื่อมั่นในองค์กร โดยบุคลากรส่วนใหญ่มีความสุขในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 61.80 และมีร้อยละของคะแนนเฉลี่ยต่อความสุขด้านเกื้อกูลสังคมในสัดส่วนสูงที่สุด ร้อยละ 83.38 รองลงมาคือด้านโอกาสพัฒนาศักยภาพ ร้อยละ 75.77 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าความสุขด้านสุขภาพอนามัยที่ดีอยู่ในระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 57.61 ทั้งนี้เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสุข พบว่า การสนับสนุนทางสังคมด้านอารมณ์จิตใจ และการปฏิบัติตามแผนและนโยบายด้านกระบวนการขององค์กร มีอิทธิพลต่อความสุขนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย และสามารถอธิบายการผันแปรได้ร้อยละ 33.2 (R2 = 0.332) และ 30.4 (R2 = 0.304) ตามลำดับ

เอกสารอ้างอิง

กมล โพธิเย็น. (2559). การจัดการเรียนรู้เพื่อนําความสุขสู้ผู้เรียน. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร, 13 (2), 121 – 131.

กอปรลาภ อภัยภักดิ์. (2563). บรรยากาศองค์กรแห่งความสุข: คนเบิกงาน งานสำเร็จ. วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์, 6 (1), 315-331.

จุมพจน์ วนิชกุล วัชรี ชูชาติ และสาโรจน์ เผ่าวงศากุล. (2560). การบริหารการศึกษาเพื่อการพัฒนาการศึกษาเปรียบเทียบในประชาคมอาเซียน. วารสารสารสนเทศ, 16 (2), 13 – 30.

ชนากานต์ นาพิมพ์ ประจักร บัวผัน และ ชัญญา อภิปาลกุล. (2561). คุณลักษณะส่วนบุคคลและแรงจูงใจที่มีผลต่อความสุขในการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจังหวัดเพชรบูรณ์. วารสารวิจัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ฉบับบัณฑิตศึกษา), 18 (4), 154 – 166.

ปกรณ์ รัตนทรัพย์ศิริ และ ธีรพัฒน์ วงศ์คุ้มสิน. (2564). ความมั่นคงทางอารมณ์ ความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรค การเสริมสร้างพลังอำนาจและความสุขในการทำงานของครูโรงเรียนเอกชนสายสามัญ ในอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี. วารสารสุทธิปริทัศน์, 35 (3), 155 – 173.

รณยุทธ ขวัญมงคล และอาชัญญา รัตนอุบล. (2563). การพัฒนาความสุขในกองทัพเรือด้วยแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง. วารสารวิชาการโรงเรียนนายเรือด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศึกษาศาสตร์, 7 (1), 17 – 30.

ศุภณัฐ อินทร์งาม และ อำนาจ ชนะวงศ์. (2562). การพัฒนาระบบการจัดการการศึกษาปฐมวัยที่มีประสิทธิผล สำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 30 (2), 160 – 173.

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2554). คู่มือความสุข 8 ประการ. กรุงเทพ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).

อาภากร ราชสงฆ์ กาญจนวัลย์ ปรีชาสุชาติ ภูริทัต สิงหเสม สุภาพร ผลบุญ และณัฐพล บุญทอง. (2563). การเรียนรู้อย่างมีความสุข ของนักเรียนวัยรุ่นในจังหวัดสงขลา. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, 20 (1), 103 - 116.

Hernández, M. M., Robins, R. W., Widaman, K. F., & Conger, R. D. (2017). Ethnic pride, self-esteem, and school belonging: A reciprocal analysis over time. Developmental psychology, 53 (12), 2384 – 2396. https://doi.org/10.1037/dev0000434

Ismail, S., Khairuddin, N.S., Alias, N.E., Koe, W., & Othman, R. (2018). An Empirical Analysis of Saving Behavior among Malaysian Employees. International Journal of Academic Research in Business and Social Sciences, 8 (10), 1070 – 1080. http://doi.org/10.6007/IJARBSS/v8-i10/4822

Leung, L. (2020). Exploring the relationship between smartphone activities, flow experience, and boredom in free time. Computers in Human Behavior, 103, 130 – 139. https://doi.org/10.1016/j.chb.2019.09.030

Matthews, R. A., & Ritter, K.-J. (2019). Applying adaptation theory to understand experienced incivility processes: Testing the repeated exposure hypothesis. Journal of Occupational Health Psychology, 24 (2), 270 – 285. https://doi.org/10.1037/ocp0000123

Miles, B. & Huberman, A. M. (1994). Qualitative data analysis: An expanded sourcebook. 2nd editon. Thousand Oaks, CA: Sage Publications.

Proto, E. (2016). Are happy workers more productive?. IZA World of Labor, 315. https://doi.org/10.15185/izawol.315

Przyrembel, M., Vrticka, P., Engert, V., & Singer, T. (2019). Loving-kindness meditation - A queen of hearts?: A physio-phenomenological investigation on the variety of experience. Journal of Consciousness Studies, 26 (8), 95 – 129.

Vidal, R.G., Raga, L.G., & Martín, R.L. (2016). Towards school transformation. Evaluation of a coexistence program from the voice of students and teachers. Journal of New Approaches in Educational Research, 5 (2), 137 – 146. https://doi.org/10.7821/naer.2016.7.177

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2022-09-29

รูปแบบการอ้างอิง

งามพิริยกร เ., ธรรมมาวิวัฒน์ ณ. ., & ขวาลำธาร ว. . (2022). การพัฒนาองค์ประกอบความสุขของโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์. Interdisciplinary Academic and Research Journal, 2(5), 461–480. https://doi.org/10.14456/iarj.2022.107

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิชาการ