การอยู่อย่างมีคุณค่าและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในศตวรรษที่ 21

ผู้แต่ง

  • อัจฉรพร เฉลิมชิต คณะวิทยาการจัดการ, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0002-5050-144X
  • พรวดี รักษาศรี คณะวิทยาการจัดการ, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0002-3516-8458
  • กชนิภา วานิชกิตติกูล คณะวิทยาการจัดการ, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0003-4641-3743
  • นาวา มาสวนจิก มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0001-8217-8475
  • ปิยะวรรณ ยางคำ คณะวิทยาการจัดการ, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0002-7078-1872

DOI:

https://doi.org/10.14456/iarj.2022.75

คำสำคัญ:

การอยู่อย่างมีคุณค่า; , คุณภาพชีวิต; , ผู้สูงอายุ

บทคัดย่อ

จากสถานการณที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น วัยแรงงานต้องรับภาระดูแลผู้อายุมากขึ้น ผู้สูงอายุอยู่เพียงลำพังมากขึ้น ผู้สูงอายุพึ่งพิงรายได้จากลูกหลานลดลง แนวโน้มขาดแคลนแรงงานในระบบ รัฐมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ และเบี้ยยังชีพผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการอยู่อย่างมีคุณค่าของผู้สูงอายุในศตวรรษที่ 21 2) เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในศตวรรษที่ 21 และ 3) เพื่อทดสอบการอยู่อย่างมีคุณค่าและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในศตวรรษที่ 21 โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้สูงอายุในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 400 คน และแบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้สูงอายุ มีความคิดเห็นด้วยเกี่ยวกับการอยู่อย่างมีคุณค่าโดยรวม อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.97 โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการสร้างเสริมความรู้และทัศนคติที่ดี มีค่าเฉลี่ย 3.99 ด้านการส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจ มีค่าเฉลี่ย 3.98 และด้านพฤติกรรมซึ่งสนับสนุนต่อการมีชีวิตยืนยาว มีค่าเฉลี่ย 3.94 2) ผู้สูงอายุ มีความคิดเห็นด้วยเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยรวมและเป็นรายด้าน อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.98 โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านจิตใจ มีค่าเฉลี่ย 4.07 ด้านการรวมกลุ่มทางสังคม มีค่าเฉลี่ย 4.05 ด้านสิทธิเสรีภาพ มีค่าเฉลี่ย 3.95 ด้านการพัฒนาตนเอง มีค่าเฉลี่ย 3.89 และด้านร่างกาย มีค่าเฉลี่ย 3.87 และ 3) การอยู่อย่างมีคุณค่า มีความสัมพันธ์และผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในศตวรรษที่ 21 และตัวพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน (b) เท่ากับ 0.558, 0.239, และ 0.164 ตามลำดับ และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ 0.792 มีค่าอำนาจในการพยากรณ์ (R2) เท่ากับ 0.627 และมีอำนาจในการพยากรณ์ได้ ร้อยละ 62.70

References

กรมกิจการผู้สูงอายุ. (2561). ยุทธศาสตร์กรมกิจการผู้สูงอายุ 20 ปี ประจำปี พ.ศ. 2561 – 2580. กรุงเทพฯ : สามลดา.

กรมกิจการผู้สูงอายุ. (2563). สถิติผู้สูงอายุของประเทศไทย 77. [ออนไลน์]. https://www.dop.go.th/th/know/side/1/1/335. [15 May 2021]

นัสมล บุตรวิเศษ และอุปริฏฐา อินทรสาด. (2564). ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ: กรณีศึกษาอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย์พระนครศรีอยุธยา.

พรสรรค์ ปิยนันทิศักดิ์. (2563). รูปแบบการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุโดยชุมชนในจังหวัดขอนแก่น. วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 7(2) : 209-226.

มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.). (2564). สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2563. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล.

ศรันยา สถิต. (2559). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในตำบลเกาะขนุนอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา. วารสารราชนครินทร์. 13(30), 133-141.

อนุชา ม่วงใหญ่. (2561). แนวคิด และวิธีการ เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าของผู้สูงอายุ. การประชุมวิชาการระดับชาติพะเยาวิจัย ครั้งที่ 7 มหาวิทยาลัยพะเยา, 2510-2518.

เอกพันธ์ คำภีระ อัมพร ยานะ และ อรัญญา นามวงศ์. (2563). ปัจจัยที่สัมพันธ์กับระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา. วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ. 7(2), 44-57.

Black, K. (2006). Business statistics for contemporary decision making. 4thed. New York: John Wiley and Sons.

Krejcie, R. V., and Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement. 30, 607-610.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2022-08-26

How to Cite

เฉลิมชิต อ., รักษาศรี พ., วานิชกิตติกูล ก., มาสวนจิก น., & ยางคำ ป. (2022). การอยู่อย่างมีคุณค่าและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในศตวรรษที่ 21. Interdisciplinary Academic and Research Journal, 2(4), 557–570. https://doi.org/10.14456/iarj.2022.75