The Effectiveness of Health Promotion Program in Chronic Upper Back Pain Patients at Thai Traditional Medicine Clinic in Nong Suea Hospital, Pathum Thani Province

Main Article Content

Sudarat Phongprayoon
Alisa Nititham

Abstract

           This study was a quasi-Experimental research and the objective was to study the effectiveness of Health Promotion Program in Chronic Upper Back Pain Patients at Thai Traditional Medicine Clinic in Nong Suea Hospital, Pathum Thani Province. This research was conducted by studying before and after experiment. Samples of 60 patients were divided into 2 groups; experimental and control group. Each group had 30 patients. The experimental instrument was health promotion program and questionnaire developed by a researcher for data collection. Data were collected for 2 times-before and after experiment. Data were analyzed by using analytical statistics, percentage, mean, standard deviation, dependent-sample t-test, and independent samples t-test


       The study results had shown as follows:


  1. Experimental group in after experiment had better mean of knowledge of chronic upper back pain, perceived self-efficacy, outcome expectation and behaviors to reduce chronic upper back pain than before experiment at the statistically significant at level .05.

  2. Experimental group in after experiment had better mean of knowledge of chronic upper back pain, perceived self-efficacy, outcome expectation and behaviors to reduce chronic upper back pain than control group at the statistically significant at
    level .05.

Article Details

Section
Research Articles

References

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข. (2556). สธ.หนุนคนไทยใช้ท่าฤาษีดัดตน 15 ท่า ออกกำลังกายสรรพคุณเพียบ ต่อต้านโรค มีอายุยืน. สืบค้นเมื่อ 20 มิถุนายน 2561, จาก https://www.dtam.moph.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=282:pr0142&catid=8&Itemid=114&lang=th

กัลยาพร เติมนาค. (2559). ผลของการใช้แนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับการบริหารร่างกายแบบฤๅษีดัดตนในกลุ่มปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนบนเรื้อรัง เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร (วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต). นครปฐม: สาขาวิชาสุขศึกษาและส่งเสริมสุขภาพ, มหาวิทยาลัยมหิดล.

กาญจนา นิ่มตรง. (2555). ผลของโปรแกรมการให้ความรู้และการสนับสนุนต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและอาการปวดของผู้ป่วยปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ, 6(2), 99-109.

นิธิตา ธารีเพียร. (2552). การประยุกต์ทฤษฎีความสามารถตนเองร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมต่อการป้องกันอาการปวดหลังส่วนล่างของผู้ประกอบอาชีพทำอิฐมอญ (วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต). นครปฐม: สาขาวิชาเอกการพยาบาลสาธารณสุข, มหาวิทยาลัยมหิดล.

ประดิษฐ์ ประทีปะวณิช. (2542). กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืด. กรุงเทพฯ: อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด.

ลิขิต รักพลเมือง. (2554). ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังจากการทำงาน. สืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2561, จาก http://www.si.mahidol.ac.th/th/tvdetail.asp?tv_id=278.

วรรณวิมล เมฆวิมล กิ่งแก้ว. (2559). การศึกษาเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากอาการปวดกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อพังผืด. วารสารสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, 1(1), 12-29.

สมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย. (2552). แนวทางปฏิบัติกลุ่มอาการปวดเรื้อรังระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ. กรุงเทพฯ: บริษัท อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.

สุชาดา บูรณัสถาพร. (2556). การประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการบาดเจ็บกล้ามเนื้อหลัง จากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยโภชนาการในโรงพยาบาล. วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 6(1), 91-100.

สำนักงานเกษตรจังหวัดปทุมธานี กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2560). ข้อมูลพื้นฐานด้านการเกษตรจังหวัดปทุมธานีปี 2559/60. สืบค้นเมื่อ 16 มิถุนายน 2561, จากhttp://www.pathumthani.doae.go.th/Agriculture%20data.html

สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2557). จำนวนผู้ป่วยนอก โรคระบบกล้ามเนื้อ รวมโครงร่าง และกล้ามเนื้อยึดเสริม ทั่วราชอาณาจักรจากสถานบริการสาธารณสุข ของกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2550– 2557. สืบค้นเมื่อ 18 พฤษภาคม 2561, สืบจากhttp://service.nso.go.th/nso/web/statseries/statseries09. html

อุษณีย์ ฟองศรี. (2553). ผลของโปรแกรมส่งเสริมความสามารถตนเองเพื่อป้องกันอาการปวดหลังส่วนล่าง ของพนักงานเคลื่อนย้ายผู้ป่วย โรงพยาบาลศิริราช (วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: สาขาวิชาเอกการพยาบาลสาธารณสุข, มหาวิทยาลัยมหิดล