ผลของการฝึกอินเทอร์วาลแบบแอนแอโรบิก แบบแอโรบิกและแบบผสมผสานที่มีต่อตัวแปรเชิงแอนแอโรบิก แอโรบิกและความสามารถในการวิ่งระยะทาง 400 เมตร (EFFECTS OF ANAEROBIC, AEROBIC AND COMBINATION INTERVAL TRAINING ON ANAEROBIC, AEROBIC PARAMETERS AND 400 METERS RUNNING PERFORMANCE)

Main Article Content

อภิรมย์ จามพฤกษ์

Abstract

บทคัดย่อ


การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฝึกอินเทอร์วาลแบบแอนแอโรบิก แบบแอโรบิก และแบบผสมผสาน ในระยะเวลาการฝึก8 สัปดาห์ ที่มีต่อตัวแปรความสามารถสูงสุดในการนำเอาออกซิเจนไปใช้ แอนแอโรบิกเทรชโฮล สมรรถภาพเชิงแอนแอโรบิก กรดแลคติกในเลือด และความสามารถในการวิ่งระยะทาง 400 เมตร และเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรดังกล่าว ก่อนการฝึก ระหว่างการฝึกและหลังการฝึก กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชาย อายุ 15 ปี ของโรงเรียนส่วนบุญโญปถัมภ์ลำพูน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง และถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 10 คน กลุ่มที่ 1 ฝึกอินเทอร์วาลแบบแอนแอโรบิก กลุ่มที่ 2 ฝึกอินเทอร์วาลแบบแอโรบิก และกลุ่มที่ 3 ฝึกอินเทอร์วาลแบบผสมผสาน แล้วนำผลการทดสอบที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าสถิติพื้นฐาน วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างกลุ่ม ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ (ANOVA with Repeated Measures)นัยสำคัญทางสถิติถูกกำหนดไว้ที่ระดับ .05


ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถสูงสุดในการนำเอาออกซิเจนไปใช้ทั้ง 3 กลุ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือกลุ่มที่ 1จาก34.170 ± 6.062 เป็น 36.900 ± 6.772มล./ กก./ นาที, กลุ่มที่ 2จาก35.100 ± 7.314 เป็น 39.040 ± 6.871มล./ กก./ นาที และกลุ่มที่ 3จาก34.210 ± 5.956 เป็น 39.580 ± 6.245มล./ กก./ นาที, จุดที่ถือเป็นแอนแอโรบิกเทรชโฮลทั้ง 3 กลุ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือกลุ่มที่ 1จาก9.000 ± 1.000 เป็น 10.550 ± 0.896กม./ ชม., กลุ่มที่ 2จาก9.300 ± 1.206 เป็น 11.100 ± 0.966กม./ ชม. และกลุ่มที่3จาก9.350 ± 1.107 เป็น 10.950 ± 0.956กม./ ชม., สมรรถภาพเชิงแอนแอโรบิก ได้แก่พลังสูงสุดแบบแอนแอโรบิก ทั้ง 3 กลุ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือกลุ่มที่ 1จาก9.998 ± 0.544เป็น 10.509 ± 0.571วัตต์/ กก.,กลุ่มที่ 2จาก9.823 ± 0.998 เป็น 10.288 ± 0.788วัตต์/ กก.และกลุ่มที่ 3จาก10.267 ± 0.972 เป็น 10.900 ± 0.892วัตต์/ กก., ความสามารถในการยืนระยะแบบแอนแอโรบิก ทั้ง 3 กลุ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือกลุ่มที่ 1จาก7.636 ± 0.433 เป็น 7.943 ± 0.454วัตต์/ กก., กลุ่มที่ 2จาก7.326 ± 0.709 เป็น 7.602 ± 0.898วัตต์/ กก. และกลุ่มที่ 3จาก7.673 ± 0.554 เป็น 8.006 ± 0.517วัตต์/ กก., กรดแลคติกในเลือดในกลุ่มที่ 2 มีเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น (ลดลง) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เพียงกลุ่มเดียว คือจาก 12.390 ± 2.939 เป็น 10.900 ± 2.495มิลลิโมล/ ลิตร,ความสามารถในการวิ่งระยะทาง 400 เมตรทั้ง3 กลุ่มมีการพัฒนาดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือกลุ่มที่ 1จาก83.610 ± 9.356เป็น 75.945 ± 7.707วินาที, กลุ่มที่ 2จาก82.079 ± 8.856 เป็น 74.574 ± 5.148วินาที และกลุ่มที่ 3จาก83.308 ± 9.501 เป็น 76.149 ± 8.904วินาที


จากข้อมูลที่ปรากฏ ทำให้สามารถสรุปได้ว่า วิธีการฝึกทั้ง3 แบบส่งผลดีไม่ต่างกัน ในการพัฒนาความสามารถสูงสุดในการนำเอาออกซิเจนไปใช้ สมรรถภาพเชิงแอนแอโรบิก และความสามารถในการวิ่งระยะทาง 400 เมตร อย่างไรก็ดีการฝึกอินเทอร์วาลแบบแอโรบิก ช่วยลดปริมาณกรดแลคติกในเลือดได้ดีกว่าวิธีการฝึกอินเทอร์วาลแบบแอนแอโรบิก และการฝึกอินเทอร์วาลแบบผสมผสาน


 

Article Details

Section
Research Articles